โควิด-19 : การระบาดใหญ่ส่งผลอย่างไรต่อสิงคโปร์ในฐานะศูนย์กลางธุรกิจของภูมิภาค
พาฟลา และอะเลน ชนูว์ลี ถือว่าสิงคโปร์เป็น "บ้าน" มานานกว่า 10 ปี ทั้งคู่เลี้ยงดูลูกชาย 2 คน ในประเทศที่เป็นศูนย์กลางธุรกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้
"ทุกอย่างเคยสมบูรณ์แบบ ชีวิตที่นี่งดงามมาก เราเดินทางไปตามที่ต่าง ๆ และมีความสุขอย่างเต็มที่ในสิงคโปร์" พาฟลาเล่า
แต่เธอบอกว่า หลายสิ่งเปลี่ยนแปลงไปหลังการระบาดของโควิด-19 พวกเขาจึงตัดสินใจย้ายออกจากสิงคโปร์
"มันชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่า มีการแบ่งแยกในด้านการปฏิบัติต่อผู้อาศัยในประเทศและชุมชนชาวต่างชาติที่ทำงานในสิงคโปร์ เรารู้สึกว่า ข้อจำกัดที่บังคับใช้กับเราไม่เป็นธรรม" เธอกล่าว
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวชนูว์ลี สะท้อนให้เห็นถึงจุดยืนที่ยากลำบากของรัฐบาลสิงคโปร์
ตั้งแต่อดีต เศรษฐกิจของสิงคโปร์พึ่งพาชาวต่างชาติจำนวนมากที่อาศัยและทำงานในประเทศ ทั้งบรรดาคนทำงานที่มีรายได้สูงตามบริษัทระดับโลกต่าง ๆ ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาคในสิงคโปร์ และคนรับใช้ตามบ้านและแรงงานที่ทำงานต่าง ๆ ซึ่งมีค่าแรงต่ำ
ปัจจุบัน การระบาดใหญ่ทำให้เกิดแรงกดดันทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น และมีอัตราการว่างงานสูงขึ้นมากกว่าปกติ แต่ก็ยังถือว่าต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับหลายประเทศ ชาวสิงคโปร์บางส่วนมีความไม่พอใจเพิ่มมากขึ้นต่อจำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศ
บางคนบอกว่า ชาวต่างชาติเหล่านี้เข้ามาแย่งโอกาสในการทำงานที่ดีกว่าของพวกเขาไป ขณะที่อีกหลายคนรู้สึกรำคาญใจกับความแตกต่างทางวัฒนธรรม และที่ผ่านมาก็เคยเกิดเหตุที่เป็นข่าวดังเกี่ยวกับ "การประพฤติตัวไม่เหมาะสม" ของชาวต่างชาติมาแล้ว 2-3 เหตุการณ์ ยกตัวอย่าง ชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่งถูกเพิกถอนใบอนุญาตการทำงานจากการละเมิดกฎล็อกดาวน์เมื่อปีที่แล้ว ขณะที่ชายชาวอังกฤษซึ่งปฏิเสธที่จะสวมหน้ากากบนรถไฟเพิ่งถูกเนรเทศออกจากประเทศเมื่อไม่นานนี้
เมื่อค่ำวันอาทิตย์ที่ 29 ส.ค. นายกรัฐมนตรีลี เซียน ลุง ของสิงคโปร์ เน้นย้ำถึงประเด็นต่าง ๆ ในการกล่าวสุนทรพจน์ในวันชาติ
"เราต้องไม่หันหลังให้พวกเขา และไม่ทำให้พวกเขารู้สึกว่า สิงคโปร์กำลังกลายเป็นชาติที่เกลียดกลัวชาวต่างชาติและเป็นปฏิปักษ์ต่อชาวต่างชาติ" เขากล่าว
"มันจะสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของเราในฐานะการเป็นศูนย์กลางระหว่างประเทศ มันจะส่งผลเสียหายต่อการลงุทน การจ้างงาน และโอกาสต่างของเรา"
แม้ว่าจะมีการรับปากว่าจะมีการเปิดกว้างยอมรับมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ชาวต่างชาติบางส่วนเริ่มรู้สึกถึงผลกระทบของนโยบายที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปของสิงคโปร์แล้ว
ไม่ต่างจากรัฐบาลอื่น ๆ ในภูมิภาค ในช่วงการระบาดใหญ่ บางครั้งสิงคโปร์ก็มีกฎเกณฑ์ข้ามแดนที่ปฏิบัติต่อพลเมืองของตัวเองและผู้พักอาศัยที่เป็นชาวต่างชาติแตกต่างกัน
นอกจากนี้สิทธิ์ในการรับวัคซีนยังไม่เหมือนกันด้วย ขณะที่บริษัทหลายแห่งเผชิญกับแรงกดดันให้จ้างงานคนในประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยมีการกำหนดโควต้าคนงานต่างชาติสำหรับอุตสาหกรรมบางประเภทในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
นายกรัฐมนตรีลีกล่าวว่าเรื่องนี้จะดำเนินต่อไป เขาระบุว่า สิงคโปร์จะเพิ่มความเข้มงวดของหลักเกณฑ์ในการให้วีซ่าทำงานแก่ชาวต่างชาติอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อจัดการกับการที่บริษัทต่างชาติบางครั้งมีการจ้างงานโดยพิจารณาจากสายสัมพันธ์ที่คุ้นเคยและการเป็นคนเครือข่ายเดียวกัน แทนที่จะพิจารณาจากคุณสมบัติ
มีหลักฐานบางอย่างเกิดขึ้นแล้วว่า นโยบายเหล่านี้กำลังส่งผลกระทบต่อจำนวนชาวต่างชาติที่ทำงานในสิงคโปร์
ตัวเลขจากกระทรวงแรงงานเผยว่า จำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในสิงคโปร์ ณ เดือน ธ.ค. 2020 ลดลงเกือบ 14% จากปีก่อนหน้า
นี่คือตัวเลขที่สำคัญ แม้ว่าหลังจากมีแนวโน้มลดง ก็ยังคงมีชาวต่างชาติมากกว่า 1.2 ล้านคนทำงานในสิงคโปร์ หรือคิดเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของแรงงานทั้งหมดในสิงคโปร์
เฟเดริโก โดนาโต ประธานหอการค้ายุโรป กล่าวว่า แรงงานส่วนนี้มีความสำคัญต่อการพัฒนาของสิงคโปร์
"ผมขอยกตัวอย่างจากเรื่องฟุตบอล ถ้าคุณเล่นในแชมเปียนส์ ลีก คุณจำเป็นต้องมีผู้เล่นที่มีความสามารถ คุณต้องมีโรนัลโด, โบนุชชี และเมสซี เพื่อที่จะแข่งขันในระดับสุดยอดได้"
"ถ้าคุณต้องการเป็นศูนย์กลางการธนาคารระดับแนวหน้า คุณอยากเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีระดับโลก คุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงการหลั่งไหลเข้ามาของผู้คนได้ โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นประเทศที่มีประชากรเพียง 5 ล้านคน"
ลอว์เรนซ์ หว่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสิงคโปร์ กล่าวกับบีบีซีไม่กี่วันก่อนหน้าที่นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์จะกล่าวสุนทรพจน์ว่า "ประเทศต่าง ๆ ทุกแห่งเผชิญกับข้อกังวลเดียวกันว่า ชาวต่างชาติกำลังแย่งงานและโอกาสของคนในประเทศหรือไม่ คุณจะมีรายได้ที่สูงขึ้นไหม และจะเกิดความเหลื่อมล้ำของรายได้หรือไม่ จะมีแนวปฏิบัติในการจ้างงานที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่มีแต่ในสิงคโปร์เท่านั้น"
"แต่ความกังวลเหล่านี้มีอยู่แล้ว และการระบาดใหญ่ทำให้เกิดความกังวลเพิ่มมากขึ้น" เขากล่าวเพิ่มเติม
ไซมอน เฮย์ส เป็นผู้บริหารด้านจัดหาคนเข้ามาทำงานที่แอนดรูว์ส พาร์ตเนอร์ชิป (Andrews Partnership) ในสิงคโปร์ กล่าวว่า นโยบายใหม่กำลังได้ผล และความต้องการคนมีความสามารถในประเทศได้เพิ่มขึ้นแล้ว
"เห็นได้อย่างชัดเจนว่า นโยบายใหม่คือปัจจัยหนึ่ง เป็นเรื่องยากมากขึ้นที่จะได้ใบอนุญาตทำงานเมื่อเปรียบเทียบกับ 5 ปีก่อน แต่ก็มีการยอมรับคนมีความสามารถที่คุณหาได้ในสิงคโปร์ด้วยเช่นกัน"
นายเฮย์สได้คัดเลือกชาวสิงคโปร์จำนวนหนึ่งให้ทำงานในตำแหน่งหัวหน้าระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกหลายตำแหน่ง และยังชักชวนให้ชาวสิงคโปร์จำนวนหนึ่งกลับบ้าน"
"บริษัทต่าง ๆ จำเป็นต้องมองหาคนมีความสามารถที่นี่มากขึ้น" เขากล่าว โดยย้ำว่า ชาวสิงคโปร์มีความเข้าใจเกี่ยวกับภูมิภาคและการเมืองของสิงคโปร์ รวมถึงการทำธุรกิจกับจีน
ขณะที่สิงคโปร์พยายามที่จะสร้างความเชื่อมั่นว่า ยังคงเปิดรับชาวต่างชาติให้เข้ามาทำงานในประเทศ แต่ชาวต่างชาติจำนวนหนึ่งอย่าง พาฟลา ชนูว์ลี และครอบครัวของเธอ ก็รู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้รับการต้อนรับอีกต่อไป