ทำไมเศรษฐกิจจีนจะเติบโตแรงในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 (ตอน 1)

เศรษฐกิจจีนในยุคหลังโควิดมีอาการ “แกว่งตัว” มาอย่างต่อเนื่อง และเริ่ม “ตั้งหลัก” ได้ดีในช่วงปี 2025 และเมื่อหลายเดือนก่อน ผมมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนทัศนะระหว่างอาหารกลางวันกับเศรษฐกรชั้นนำของจีน ในระหว่างการสนทนาเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีนในอนาคต มีความเห็นท่อนหนึ่งที่น่าสนใจว่า “เศรษฐกิจจีนจะเติบโตแรงอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 และยากจะฉุดรั้งไว้ได้หลังจากนั้น”
ผมยังไม่ทันได้สอบถามต่อถึงเหตุผล ทีมงานก็เตือนว่าเราต้อง “ไปต่อ” อีกงานหนึ่งกันแล้ว แต่ข้อคิดเห็นดังกล่าวก็ทำให้ผมเกิดคำถามสำคัญผุดขึ้นในหัวว่า ทำไม?
ยิ่งหากนำเอาข้อคิดเห็นดังกล่าวไปสอบถามนักวิชาการตะวันตก เราอาจได้คำตอบว่า “มีความเป็นไปได้น้อยมาก” หรือ “ไม่มีโอกาสเป็นไปได้”
เพราะหากพิจารณาจากข้อมูลในปัจจุบัน ก็อาจกล่าวได้ว่า ยังไม่มีข้อมูลอะไรที่สนับสนุนอย่างชัดเจนว่าเศรษฐกิจจีนจะเติบโตแรงอย่างก้าวกระโดดนับแต่ครึ่งหลังของปี 2026 และจะฉุดไม่อยู่แต่อย่างใด
วันนี้ผมเลยจะขอชวนท่านผู้อ่านมาถอดรหัสกันครับ ...
ประการแรก แก้ปัญหาอสังหาริมทรัพย์ที่คั่งค้างมานาน อันที่จริง จีนพยายามออกมาตรการแก้ไขปัญหา “ความซบเซา” ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ มาอย่างต่อเนื่องผ่านนโยบายการเงิน การคลัง และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง
เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย การอัดฉีดสภาพคล่องให้กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ การลดค่าธรรมเนียมการโอน การลดอัตราส่วนเงินดาวน์ขั้นต่ำเหลือ 15% และการผ่อนปรนข้อจำกัดในการซื้อบ้าน รวมทั้งการจัดซื้อโครงการที่มีอยู่เพื่อเป็นสวัสดิการด้านที่อยู่อาศัยแก่พนักงานของรัฐ
นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังพยายามเรียกความเชื่อมั่นของภาคประชาชนต่อทิศทางแนวโน้มเศรษฐกิจในภาพรวมให้กลับคืนมา และมาพร้อมกับ “โมเดล” การแก้ไขปัญหาที่จะนำภาคอสังหาริมทรัพย์ “เปลี่ยนโหมด” ไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนอีกด้วย
เราต่างทราบกันดีว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์จีน “โป่งพอง” ด้วยการเก็งกำไรมาหลายสิบปี ราคาบ้านและค่าเช่าในเมืองใหญ่ดีดตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนทำเอาค่าครองชีพและต้นทุนในการประกอบธุรกิจพุ่งสูง และทำให้ความฝันของชาวจีนที่อยากเห็น “เมืองน่าอยู่” จางหายไป
หลังการส่งสัญญาณเตือนเรื่อง “ฟองสบู่” ของตลาดอสังหาริมทรัพย์มาเป็นระยะ ในที่สุดรัฐบาลจีนก็เดินหน้าตามหลักการที่ สี จิ้นผิง เคยกล่าวไว้ที่ว่า “บ้านมีไว้อยู่อาศัย ไม่ใช่เพื่อการเก็งกำไร” โดยอาศัยจังหวะการมาของ “วิกฤติโควิด” ให้ธนาคารพาณิชย์ชะลอการปล่อยสินเชื่อโครงการอสังหาริมทรัพย์
การปิด “ท่อน้ำเลี้ยง” ก็เป็นเสมือนการ “เฉือดคอ” กิจการอสังหาริมทรัพย์ที่โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องพึ่งพาสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ในระดับที่สูงนั่นเอง รัฐบาลจีนแสดงจุดยืนชัดเจนที่จะ “ไม่อุ้ม” กิจการอสังหาริมทรัพย์ แต่ก็ “ควบคุม” ผลกระทบเชิงลบที่มีต่อผู้บริโภคที่ซื้อหาที่อยู่อาศัย
การตัดสินใจของรัฐบาลจีนในการจัดระเบียบภาคอสังหาริมทรัพย์ครั้งใหญ่ที่ผ่านมา จึงถือเป็น “ความกล้าหาญ” อย่างมากในการเผชิญกับปัญหาที่อยู่ตรงหน้า แทนที่จะปล่อยให้ฟองสบู่ “พองโต” และไป “ระเบิด” ในอนาคต ซึ่งอาจนำไปสู่ผลกระทบที่ยากจะจินตนาการ
หลังจากนั้น สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ “ลุ่มๆ ดอนๆ” มาอย่างต่อเนื่อง จีนพยายาม “รักษาทรง” และเริ่มทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองใหญ่ระดับ 1 และระดับ 2 “ไม่ไถล” ได้ในปีที่ผ่านมา แต่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็มาเป็นกระแสข่าวดังอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 เมื่อราคาและยอดขายอสังหาริมทรัพย์ในเมืองใหญ่ที่ทำท่าจะเริ่มนิ่งก่อนหน้านี้ กลับมีแนวโน้มลดลงอีกครั้ง
ยกตัวอย่างเช่น ในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2025 ราคาที่อยู่อาศัยใหม่และมือสองใน 70 เมืองขนาดใหญ่และขนาดกลาง และอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ใหม่ในเมืองระดับที่ 1 ต่างชะลอตัวลง
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ที่ผ่านมาก็มีข่าวใหญ่ในจีน (ที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว) เมื่อมีการเพิกถอน Evergrande จากตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ซึ่งถือเป็นก้าวย่างสำคัญที่ตอกย้ำความพยายามในการปรับโฉมภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน
ในด้านหนึ่ง จีนยอม “กลืนเลือด” ลดบทบาทของภาคอสังหาริมทรัพย์ต่อเศรษฐกิจมหภาคในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ยอมปล่อยให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ลดลงแตะ “จุดต่ำสุด” ในปี 2025 เพื่อ “ปรับฐาน” อย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่งผลให้ขนาดเศรษฐกิจของภาคอสังหาริมทรัพย์จาก 25% ในปี 2020 ลดลงเหลือ 15% ในปัจจุบัน โดยจีนให้ความสำคัญกับการคุมเข้มและการยกระดับคุณภาพโครงการที่คั่งค้างอยู่และที่จะเกิดขึ้นใหม่ในอนาคต
ออฟฟิศและที่อยู่อาศัยยุคใหม่ของจีนจึงเต็มไปด้วยระบบ IoTs และอุปกรณ์ดิจิตัลที่ช่วยอำนวยความสะดวก และเต็มไปด้วยความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ เครื่องสแกนนิ้วและดวงตา พื้นที่สีเขียว แหล่งผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลมและแสงอาทิตย์ ที่ช่วยเพิ่ม “คุณภาพชีวิต” ให้แก่ผู้อยู่อาศัยและชุมชนรอบข้าง
แต่ในอีกด้านหนึ่ง จีนก็กำลัง “กัดฟันสู้” และแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างไปสู่ภาคเศรษฐกิจใหม่ที่มี “ประสิทธิภาพ” และ “เสถียรภาพ” มากกว่า โดยหันไปพึ่งพาภาคการผลิตอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งไฮเทค หุ่นยนต์ การผลิตอัตโนมัติ พลังงานสะอาด และอื่นๆ ที่เติบใหญ่อย่างรวดเร็วจนสามารถเข้ามาทดแทนการหดตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ได้
“ความยั่งยืน” ที่กำลังเกิดขึ้นจึงไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่หมายรวมถึงการขยายวงกว้างไปถึงการสร้าง “รากฐาน” ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของจีนอีกด้วยในระยะยาว
มาถึงวันนี้ จีนกำลังส่งสัญญาณแรงว่า ปัญหาสต็อกอสังหาริมทรัพย์ใกล้จะจบลงแล้ว และราคาอสังหาริมทรัพย์ของจีนจะฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพในปี 2026 ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวม
ประการที่ 2 การลงทุนในอุตสาหกรรมไฮเทคและนวัตกรรม ในช่วงหลายปีหลัง จีนกำหนดยุทธศาสตร์การพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน “เทคโนโลยีหลัก” ส่วนหนึ่งเนื่องจากแรงกดดันด้านปัจจัยเชิงภูมิรัฐศาสตร์
หนึ่งในนโยบายสำคัญที่โดดเด่นในเรื่องนี้ได้แก่ “Made in China 2025” ที่ดำเนินนโยบายส่งเสริม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ ไบโอเทค รถยนต์พลังงานทางเลือก พลังงานสะอาด เซมิคอนดักเตอร์ พาณิชย์นาวี การบินและอวกาศ วัสดุใหม่ และปัญญาประดิษฐ์ มาเป็นเวลาราว 10 ปีและจะสิ้นสุดในปีนี้
เพื่อให้การพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายเกิดเป็นรูปธรรม รัฐบาลจีนจึงมีการดำเนินมาตรการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงที่เกี่ยวข้อง อาทิ กองทุนส่งเสริมการลงทุนวงเงิน 1 ล้านล้านหยวนสำหรับสตาร์ตอัพด้านเทคโนโลยี ขณะที่ ICBC ก็จัดตั้งกองทุนนวัตกรรมเทคโนโลยีมูลค่า 80,000 ล้านหยวน
จีนยังไม่หยุดเพียงแค่นโยบาย Made in China 2025 และดำเนินการในอีกหลายส่วนเพื่อผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมไฮเทคและนวัตกรรม แต่ผมขอยกยอดไปคุนกันต่อตอนหน้า ...
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
