รีเซต

หุ้นเด่นวันนี้ !โบรกเฟ้น 14 หุ้นน่าเก็บ เน้นตัวเด็ดกำไรไตรมาส 2 โตพุ่ง มีนิวไฮ

หุ้นเด่นวันนี้ !โบรกเฟ้น 14 หุ้นน่าเก็บ เน้นตัวเด็ดกำไรไตรมาส 2 โตพุ่ง มีนิวไฮ
TNN Wealth
23 กรกฎาคม 2564 ( 10:20 )
321

หุ้นน่าซื้อวันนี้ 23 ก.ค. 64 : โบรกมองกรอบหุ้นไทยวันนี้เคลื่อนไหว 1,545-1,560 จุด แกว่งตัว จากความกังวลสถานการ์โควิด-19 ยังกดดันตลาด แนะเน้นหุ้นกำไรไตรมาส2 โตโดดเด่น ท่ามกลางตลาดผันผวน

 


นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า แม้มีปัจจัยบวก คือ การปรับตัวเพิ่มขึ้นราคาน้ำมันดิบทั้ง Brent และ NYMEX ราว 2% แต่เราประเมินว่า SET INDEX จะแกว่งตัวออกข้างวันนี้ เนื่องจากเป็นวันทำการสุดท้ายของสัปดาห์และต้นสัปดาห์หน้า เป็นช่วงคาบเกี่ยววันหยุด ทำให้นักลงทุนบางส่วนอาจเลือกที่จะขายลดน้ำหนักการถือครองหุ้นออกมาก่อน

 

 

เราประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของ SET INDEX วันนี้ 1,545-1,560 จุด โดยเรามีมุมมองเป็นกลางต่อผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยมีการปรับเป้าหมายเงินเฟ้อ เป็นเฉลี่ย 2% ในระยะกลางตามคาด พร้อมกับคงนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน ทั้งอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ โดย ECB ส่งสัญญาณว่า อัตราการซื้อสินทรัพย์ จะเร่งความเร็วขึ้นในช่วง 3Q64 เมื่อเทียบกับช่วง 1Q64 ส่งผลให้เงินยูโร อ่อนค่าราว 0.2% เทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ

 

 

วันนี้ กระทรวงพาณิชย์จะรายงานยอดนำเข้า-ส่งออก เดือน มิ.ย. โดย Bloomberg Consensus คาดยอดส่งออก จะเติบโตสูงต่อเนื่องราว 38% YoY ในขณะที่สัปดาห์หน้า จับตาการประชุม Fed ระหว่างวันที่ 27-28 ก.ค. และการรายงานผลการดำเนินงาน 2Q64 ของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่ม Real Sector เช่น SCGP, SCC และ PTTEP

 

 

ปัจจัยพื้นฐานที่น่าสนใจวันนี้ เช่น คาดการณ์ผลประกอบการ 2Q64 ของ AP/ CPN/ SPALI/ PTTGC/ SPRC และบทวิเคราะห์กลุ่มยานยนต์ ยอดผลิตรถยนต์ เดือน มิ.ย.

 

 


สำหรับ หุ้นเด่นวันนี้มี 4 ตัว นำโดย PRM โดยภาพทางเทคนิค แนวต้าน 7.10 บาท แนวรับ 6.75 บาท และ Stop loss หากต่ำกว่า 6.50 บาท แนวโน้มกำไร 2Q64 คาดทรงตัว YoY และ QoQ อย่างไรก็ตาม Valuation ไม่แพงที่ PER2564 ราว 11 เท่า ถูกที่สุดในหุ้นกลุ่มเดินเรือ

 

 

ราคาปิดที่ 6.80 บาท ให้แนวต้านทางเทคนิค 7.10 บาท

 

 


หุ้นเด่นตัวต่อมาคือ BCPG คาดว่ากำไรปกติ 2Q64 เติบโตทั้ง YoY และ QoQ จากแรงหนุนของธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังน้ำ และการรับรู้รายได้ตาม MW ที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในไทย โดยการรุกเข้าสู่ธุรกิจ Battery หลังเข้าลงทุนใน VRB Energy จะหนุนการเติบโตในระยะยาว และการเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) โครงการโรงไฟฟ้าพลังลมในเวียดนาม 600MW โดย BCPG ถือหุ้นในโครงการดังกล่าว 45% คาดส่งผลให้ตลาดมองเห็นศักยภาพในการเติบโตของบริษัทได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น

 

 

ราคาปิด 14.50 บาทแนวต้านทางเทคนิค 15.00 บาท

 

ตัวต่อมาคือ SPALI ที่คาดกำไรปกติ 2Q64 ที่ 1.5 พันลบ. เติบโต +260% YoY และ +104% QoQ จากการรับรู้รายได้โครงการแนวสูง คือ Supalai Premier Charoen Nakorn และ Supalai Riva Grande และโครงการแนวราบยังเติบโตได้ดี QoQ พร้อมคาดเงินปันผล 1H64 หุ้นละ 0.45 บาท ให้ Yield 2.1% และแนวโน้มกำไรปี 2564 คาดเติบโต +36% YoY เป็น 5.7 พันลบ. และ +7% YoY เป็น 6.2 พันลบ. ในปี 2565 เป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลดีราว 5% ต่อปี

 

 

ราคาปิด 21.30 บาทแนวต้านทางเทคนิค 22.00 บาท

 

และ KBANK เป็นหุ้นที่นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง เราประเมินว่ากลุ่มธนาคารมีโอกาสตอบรับเชิงบวก หากสถานการณ์ COVID ในประเทศดีขึ้นในสัปดาห์หน้า อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ COVID แย่ลง จะมีจุด Stop loss หากราคาหุ้นปรับตัวลงต่ำกว่า 104.00 บาท ซื้อขายที่ PBV เพียง 0.56 เท่า และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล ราว 3.5% ต่อปี

 

 

ราคาปิด 107.00 บาทแนวต้านทางเทคนิค 110.00 บาท

 

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส บล.เอเซีย พลัส (ASPS) กล่าวว่า Consensus สำหรับคาดการณ์ GDP Growth ปี 2564 ถูกปรับลดลงมาค่อนข้างชัดเจนแล้วจากเดิมที่คาดเติบโต 1.5 – 1.7% YoY มาอยู่ในกรอบ 0 – 1% โดยล่าสุด ธปท. ออกมาประเมินผลกระทบจาก Covid-19 ต่อเศรษฐกิจอยู่ที่ระดับ (-0.8) – (-2%) ของ GDP ลำดับถัดไปที่ต้องตามคือการปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียน ซึ่งปัจจุบันค่าเฉลี่ย EPS ปี 2564 อยู่ในช่วง 83 – 84 บาท/หุ้น (ASPS คาด 71.2 บาท/หุ้น) สำหรับสถานการณ์ Covid-19 ในประเทศยังน่ากังวลอยู่มากโดยจำนวนผู้ติดเชื้อวันนี้สูงถึง 1.45 หมื่นราย ซึ่งเป็น New High และน่าจะเป็นปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นไทย ส่วนปัจจัยในต่างประเทศไม่มีเรื่องใหม่ที่มีน้ำหนักขับเคลื่อนตลาด

 

 

SET Index น่าจะปรับฐานลงต่อกรอบบริเวณ 1,530 – 1,560 จุด พอร์ตจำลองให้นำเงิน 5% ซื้อ TMT ทำให้น้ำหนักเงินสดเหลือ 15% Top Pick เลือก MCS, TMT และ PLANB

 

 

 

หุ้นเด่นตัวแรกนำโดยคือ TMT (FV @ 12.40) คาดกำไร 2Q64 New High ที่ 426 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 400%YoY จากราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนที่ปรับขึ้นทุกเดือน ส่งผลให้ Gross margin ทำได้สูงถึง 14.2% พร้อมลุ้นปันผลระหว่างกาลครั้งแรก 0.50 บาท (Div Yield 5%) โดยประเมินกำไรสุทธิปีนี้อยู่ที่ 1.2 พันล้านบาท ถือเป็นกำไรสูงสุดของบริษัท ให้ราคาเหมาะสม 12.40 บาท มี Upside 24% และคาดหวังปันผลปีนี้ 10% ต่อปี

 

 


หุ้นเด่นตัวต่อมาคือ MCS (FV @ 21.00) คาดกำไร 2Q64 ทำได้สูงถึง 330 ล้านบาท (+41%QoQ, +46%YoY) หนุนด้วยปริมาณส่งมอบโครงสร้างเหล็กรวม 2.25 หมื่นตัน โดยกำไร 1H64 ที่คาดว่าจะทำได้สูงถึง 564 ล้านบาท ประเมินปันผล 1H64 ไว้ที่ 0.55 บาท คิดเป็น Div Yield 3.8% ทิศทางกำไรครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรก ตามแผนส่งมอบงานล่าสุด จึงปรับประมาณการกำไรปีนี้ขึ้น 13% อยู่ที่ 1.18 พันล้านบาท ประเมิน FV อิง PER (2565) 10 เท่า จะให้ราคาเหมาะสม 21.00 บาท มี Upside 44% และคาดหวังปันผลสูงถึง 8.90% ต่อปี

 

 

หุ้นเด่นปิดท้ายคือ APLANB (FV @ 7.10) โอลิมปิกเกมส์ โตเกียว 2020 ที่จะเริ่มจัดวันนี้ คาดสร้างสีสันให้กับ PLANB ในช่วงนี้ หากพิจารณาในมุมพื้นฐาน จะเริ่มรับรู้รายได้จากสิทธิ์โฆษณาประมาณ 500 ล้านบาท ในช่วงไตรมาส 2-3 ของปีนี้ หนุนเพิ่มกำไรสุทธิอีก 100 ล้านบาท ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside สูงกว่า 25% ถือเป็นโอกาสสะสม

 

 

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า วันนี้คาด SET แกว่ง Sideways ในกรอบแนวรับ 1,540 จุด และ แนวต้าน 1,565 จุด เน้นหุ้นแนวโน้มกำไร 2Q64 เด่น

 

 

โดยหุ้นเด่นวันนี้แนะนำ SPALI คาดกำไร 2Q64 เด่นเติบโตราว 1.4-1.5 พันล้านบาท จากการเริ่มโอนคอนโด 2 แห่งมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาทซึ่งรายได้และกำไรครึ่งปีแรกจะคิดเป็น 40% ของประมาณการทั้งปี ดังนั้นจึงคาดว่ากำไรจะเร่งขึ้นทำจุดสูงสุดของปีในช่วง 3Q64 ปัจจุบันเทรด PE 8 เท่าและคาดมีปันผลสูงราว 5% ต่อปี

 

 

เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 24.5 บาท


หุ้นเด่นตัวต่อมาคือ TU แนวโน้มกำไรแข็งแกร่งใน 2Q64 เติบโตทั้ง QoQ YoY จากยอดขายอาหารทะเลแช่แข็งและอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูงและควบคุมต้นทุนได้ดี ขณะที่ Red Lobster ฟื้นตัวได้ดีหลังการเปิดเมือง เราคาดว่ากำไร 3Q64 ดีต่อเนื่อง โดยได้ผลบวกจากค่าเงินบาทอ่อนค่า เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 24 บาท

 

 

บล.ไทยพาณิชย์ คาดว่าการฟื้นตัว SET จำกัดที่แนวต้าน 1555-1562 จุด โดยตลาดที่ขาดปัจจัยหนุน ทำให้มองขาดแรงส่งที่ต่อเนื่อง ขณะที่ สถานการณ์การแพร่ระบาดยังเป็นปัจจัยกดดัน หลังจำนวนผู้ติดเชื้อยังอยู่ในระดับสูง เป็นปัจจัยถ่วงและกดดันตลาด โดยมีกรอบล่างที่แนวรับ 1540-1546 จุด หากต่ำกว่า จะเป็นสัญญาณลบ กลยุทธ์ใช้บริเวณ 1500 จุด เป็นจุดเริ่มซื้อสะสมเพื่อการลงทุน ด้านการ Selective Buy หรือเก็งกำไร ทำอย่างระมัดระวัง

 

 

Selective buy หุ้นปลอดภัยรับมือตลาดผันผวนสูง 1) Defensive Plays : กลุ่มการแพทย์ BDMS BCH RJH ; EV/clean energy EA NEX 2) Earnings Play : SCGP, GPSC, TU, PM, SFT, WICE ขณะที่ KCE, HANA แนะนำเทรดดิ้ง

 

 

หุ้น reopening ที่ได้รับผลกระทบการยกระดับ lockdown กลุ่มค้าปลีก กลุ่มขนส่ง โรงแรม ร้านอาหาร ยังมีความผันผวนสูง

 

 

 

หุ้นเด่นวันนี้ แนะนำ EA (ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 70 บาท) ได้ sentiment บวกจากการส่งเสริม EV จากภาครัฐ คาดผลการดำเนินงาน 2H64 โตเด่น ทั้งยังมีแผนพัฒนากัญชง CBD สูงอีกด้วย และแนะนำ WICE คาดกำไร 2Q-4Q64 โตต่อเนื่อง YoY จากความต้องการขนส่งระหว่าง ปท.ขยายตัวแรง

 

ขณะที่ บล.กสิกรไทย แจ้งว่า เป้าดัชนีวันนี้อยู่ที่ 1,533 -1,570 จุด หุ้นเด่นวันนี้ แนะนำ 3 หุ้นเด่น คือ KTB ปัจจุบันอยู่ที่ 10.60 บาท เป้าหมาย 11.10 บาท SPALI ปัจจุบัน 21.30 บาท เป้าหมาย 22.30 บาท หุ้นเด่นปิดท้ายคือ SUN ราคาปัจจุบัน 7.65 บาท เป้าหมาย 8.05 บาท

 

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง