เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้
#SET #ทันหุ้น - บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index คาดพักตัวลงสู่ระดับ 1,630+- จุด ถ่วงโดยกลุ่มพลังงานหลังราคาน้ำมันดิบพลิกมาร่วงแรง -6% จากความกังวลเงินเฟ้อที่ถ่วงเศรษฐกิจ รวมถึงข่าวอิรักพร้อมส่งออกน้ำมันดิบไปยุโรปเพิ่ม ส่วนบรรยากาศการลงทุนมีแรงกดดันจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ยังพักฐานต่อเนื่องจากแนวโน้มนโยบายการเงินของ FED ที่คาดยังขึ้นดอกเบี้ยแรง ปัจจัยที่ต้องติดตามปลายสัปดาห์นี้คือตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ส.ค. ของสหรัฐฯ ขณะที่อีกตัวเลขสำคัญคือเงินเฟ้อ CPI ที่จะประกาศวันที่ 13 ก.ย. ซึ่งเป็นตัวเลขสำคัญก่อนประชุม FED ในสัปดาห์ถัดไป
อย่างไรก็ตามเรายังคาดว่า SET Index จะพักตัวเบากว่าตลาดหุ้นภูมิภาคอื่นๆโดยยังได้อานิสงส์จากกระแสเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าจากเศรษฐกิจที่เป็นขาขึ้นหลังเปิดประเทศเต็มรูปแบบแล้ว หุ้น Domestic และ Value Play ที่ PER ไม่สูงเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตจะยัง Outperform จากสภาพคล่องที่ทยอยลดลงตามนโยบายการเงินที่ตึงตัวทั่วโลก ส่วนจังหวะสะสมหุ้นเพิ่มยังแนะนำรอช่วงตลาดพักฐานลงหา 1,600+- จุด เรายังคงมุมมองบวกต่อแนวโน้ม SET Index ใน 4Q22-2023
กลยุทธ์ : ลงทุนใน Domestic และ Value Play // รอสะสมหุ้นช่วงปรับฐาน 1,580-1,600+- จุด
หุ้นเด่นเดือนส.ค. : BBL, ILINK, NSL, SAPPE, SC
หุ้นเด่นวันนี้ : NSL
• แนะนำ “ซื้อ” อยู่ระหว่างปรับใช้ราคาเป้าหมายปี 2023 ที่ 24 บาท
• แนวโน้ม 3Q22 ดูดีกว่าที่เคยคาด ล่าสุดรายได้ 3QTD ยังปรับขึ้นต่อ Q-Q และโตสูง Y-Y ได้แรงหนุนจาก Reopening ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบเริ่มทรงตัวถึงปรับลงทั้งแป้งสาลีและน้ำมันปาล์ม ลุ้นกำไร 3Q22 จะโตต่อ Q-Q และ Y-Y อาจทำ New high สวนทางฤดูกาล ที่มักอ่อนลง Q-Q เพราะหน้าฝน
• กำไร 4Q22 จะปรับขึ้นต่อเพราะเป็น High Season และได้อานิสงส์จากนักท่องเที่ยวที่กลับมามากขึ้น ทำให้เราเริ่มเห็น Upside ต่อประมาณการกำไรปี 2022 จากปัจจุบันคาด +30% ส่วนปี 2023 คาดโตต่อเนื่องอีก +15%
• แนวรับ 19.20-19 บาท แนวต้าน 19.90-20//20.40 บาท
**บล.ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดดัชนีฯ มีโอกาสปรับตัวลงจากความกังวลเรื่องดอกเบี้ยสหรัฐฯ และราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง แต่ได้อานิสงค์จากการท่องเที่ยวช่วยหนุน ต่างประเทศ ความกังวลเรื่องดอกเบี้ย (เป็นวันที่ 3) รวมถึงประเด็นของเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวจากผลของ Covid-19 เป็นตัวฉุดราคาน้ำมันให้ปรับตัวลง (ล่าสุด 98.4 เหรียญ) นักลงทุนเริ่มกลับมากลัว Recession มากกว่า Supply Concern หุ้นที่จะเป็นลบจะเป็นผู้ผลิตน้ำมันและโรงกลั่นน้ำมัน
ตัวช่วยของไทยโดยตรง คือ ตัวเลขนักท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีหลังที่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวประมาณ 7.5 ล้านคน สร้างรายได้ 4 แสนล้านบาท เรามองว่าจะเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มเปิดเมือง (AOT, CPN, CRC)
วันนี้จะมีการทำ MSCI Rebalance จับตาดูหุ้น KBANK ที่กลับเข้ามาคำนวณดัชนีฯ
การเมืองไทย ยังคงต้องรอการตัดสินของศาล รธน. กรณี 8 ปีของนากยกฯ (คาดรู้ผลไม่เร็วไปกว่า 13 ก.ย.) ขณะที่รักษาการนายกฯ มีการอนุมัติ 6.3 พันล้านบาท อัดงบท้องถิ่น และถอนวาระของงบอุ้มค่าไฟฟ้า 8 พันล้านบาทในวานนี้ (30) แต่ไม่ได้มีนัยยะต่อตลาดหุ้นไทย
หุ้นขึ้น XD วันนี้ ได้แก่ BCH(@0.40) และ BCP(@1.25)
ตัวเลขเศรษฐกิจวันนี้ คือ ธปท.รายงานเศรษฐกิจไทย เดือน ก.ค.
Strategy
• ในที่สุด ตลาดก็กลับมากลัวผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ย ที่จะทำให้โอกาส Recession มีมากขึ้น หุ้นกลุ่มเทคฯ ที่อิงเรื่อง Fed และดอกเบี้ยโดยตรง ยังต้องระวังในการเข้าซื้อขายในช่วงนี้
• การที่นักลงทุนในตลาดโลก เกิดความลังเลว่าตลาดจะไปทาง จะทำให้นักลงทุนหมุนหุ้นมาที่ข่าวเฉพาะตัว วันนี้ เล็งกลุ่มท่องเที่ยว ไว้ก่อน ที่จะนำราคาโดย AOT
• หุ้นในพอร์ตวันนี้ เรานำ BANPU, PTTEP, NER ออกจากพอร์ต และเพิ่ม CKP, SIS เข้ามาในพอร์ต พอร์ตหุ้นประกอบไปด้วย CKP(10%), SIS(10%), CPN(10%), SCB(10%), BDMS(10%), WICE(10%), SICT*(10%)
Strategy Stock Pick
CKP: (เป้าเชิงกลยุทธ์ 5.45 บาท) “วางหุ้นราคา Laggard แต่แนวโน้มกำไร 3Q22E พีค”
•แนะนำทยอยซื้อสะสม CKP ซึ่งราคาค่อนข้าง Laggard SET ขณะที่ผลประกอบการ 3Q22 คือ Peak Season ปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นจะหนุนการผลิตไฟฟ้าของโครงการหลัก (ไซยะบุรี น้ำงึม และ BIC)
•มีการลงทุนโครงการใหม่ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง มีเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 4.8GW ในปี 2024E
•DAOL ประเมินกำไรสุทธิปี 2022-2023 ที่ 2.15 พัน ลบ. และ 2.47 พัน ลบ. -1.2%YoY, +15%YoY ตามลำดับ
Technical : CPR, MONO
**บล.คิงส์ฟอร์ด จำกัด ประเมินดัชนี SET ถูกกดดันจากกลุ่มพลังงานลดลงตามราคาน้ำมันดิบ แต่ยังได้แรงหนุนจาก Fund Flow และ MSCI รีบาลานท์เพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย วางแนวรับดัชนีที่ 1,625 – 1,630 แนวต้าน 1,645 – 1,650 แนะนำซื้อ KBANK,SCB/ CPALL,CPN,TNP/ GFPT,TU,ICHI
SISB (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย 16.00 บาท) ภาพรวมการดำเนินธุรกิจ 2H65 มีทิศทางที่ดีต่อเนื่อง มีปัจจัยหนุนจากช่วงการเปิดปีการศึกษาใหม่ของทุกปี ประกอบกับมีการปรับค่าเรียนขึ้นราว 5% ขณะเดียวกันได้กลับมาเปิดการเรียนการสอน Onsite เต็มรูปแบบ ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ค่าอาหาร ค่ากิจกรรมหลังเลิกเรียน และระหว่างปิดภาคเรียน โดยบริษัทฯได้ปรับเป้าหมายจำนวนเรียนในสิ้นปี 65 เพิ่มขึ้นอีก 10% จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 2,750 คน นอกจากนี้วางเป้าหมายจำนวนนักเรียนในช่วง 5 ปี (ปี 65-69) 4,250 คน ผ่านการขยายโรงเรียนสาขาเพิ่มขึ้น โดยในปี 66 เตรียมเปิดโรงเรียนนานาชาติแห่งที่ 5 - โรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์ นนทบุรี และเปิดโรงเรียนนานาชาติแห่งที่ 6 - โรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์ ระยอง เพื่อรองรับความต้องการของผู้ปกครองและนักเรียนในพื้นที่ดังกล่าว ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรปี 65 อยู่ที่ราว 300 ล้านบาท +44%YoY
JMART* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 64.50 บาท) ประเมินผลการดำเนินงานจะสดใสในช่วงครึ่งปีหลัง จากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่เริ่มฟื้นตัว และ iPhone 14 ที่คาดว่าจะเปิดตัวในเดือนก.ย.-ต.ค.65นี้ ด้านบริษัทลูกในเครืออย่าง 1.JMT* ยังได้อานิสงค์จากระดับ NPL ในระบบที่สูงและการทำ JV กับ KBANK* ในส่วนของธุรกิจ AMC 2.SINGER* ยังคงคาดว่าจะมีผลประกอบการที่เติบโตได้ดีจากพอร์ตสินเชื่อจำนำทะเบียนรถทำเงิน C4C และ3.J*ซึ่งคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของรายได้ค่าเช่าตามการ Reopening ในประเทศไทย ทั้งนี้คาดว่าในปี65 และ66 กำไรปกติของ JMART* จะสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่องแม้กำไรสุทธิจะหดตัวจากกำไรพิเศษในปี64(กำไรพิเศษราว 1.2 พันล้านบาทเป็นการบันทึกกำไรจากการลงทุน)โดยตลาดคาดกำไรสุทธิปี 65 และ 66 ของJMART* ที่ระดับ 1,795 ลบ. (-27%YoY) และ 2,250 ลบ.(+25%YoY) ตามลำดับ