เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้
#SET #ทันหุ้น - บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index แกว่ง Sideways down กรอบ 1,575-1,590 จุด จากความตึงเครียดมากขึ้นระหว่างความสัมพันธ์สหรัฐ-จีน หลังนาง Nanncy Pelosi เยือนไต้หวันและเตรียมเข้าพบประธานาธิบดีไต้หวันในวันนี้ นาง Pelosi ถือเป็นนักการเมืองระดับสูงสุดจากอเมริกาที่เยือนไต้หวันเป็นครั้งแรกในรนอบ 25 ปี สร้างความไม่พอใจให้แก่จีน ขณะเดียวกันนักลงทุนยิ่งกังวลเศรษฐกิจของสหรัฐและจีนที่อาจชะลอมากขึ้นหากเกิดความไม่สงบทางการเมืองเพิ่มเติม
วันนี้ OPEC+ ประชุม คาดว่าจะไม่เพิ่มการผลิตมากกว่าแผน เรายังคงเชื่อว่าราคาน้ำมันผ่านจุดสูงสุดของปีนี้ไปแล้วในเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกจะเริ่มชะลอตั้งแต่เดือน ก.ย. เป็นต้นไป ระยะสั้นดัชนียังจำกัดอยู่บริเวณ 1,600 จุดจากภาพเศรษฐกิจโลกที่ชะลอ เศรษฐกิจไทยทยอยฟื้นตัวช้าๆ กลุ่ม Domestic Play คาดยังปรับตัวได้แข็งแรงโดยเฉพาะใน 2H22 หนุนกระแสเงินทุนไหลเข้าในระยะกลาง-ยาว เรายังเน้นลงทุนในหุ้น Value Play ที่ Valuation ถูกกว่าช่วงก่อน COVID-19 ส่วนหุ้นที่มีแนวโน้มกำไร 2Q22 โดดเด่นคาดว่าจะ Outperform ตลาดช่วงนี้
กลยุทธ์ : เก็งกำไรงบ 2Q22 และหุ้น Value Plays
หุ้นเด่นเดือนส.ค. : BBL, ILINK, NSL, SAPPE, SC
หุ้นเด่นวันนี้ : BCH
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายจาก FSSIA 28.50 บาท
• เป็นแหล่งพักเงินที่ดีท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างสหรัฐ-จีนที่เข้ามาใหม่ เมื่อเทียบกับ รพ. อื่น BCH มี PE 11 เท่า ต่ำสุดในกลุ่ม
• แม้ว่ากำไรจะผ่านพีคและชะลอใน 2Q22 และชะลอต่อเนื่องในปี 2022-2023 แต่กำไรปี 2023 ยังสูงกว่าช่วงก่อนโควิดถึง 50% การดำเนินงานหลักยังแกร่งทั้งผู้ป่วยไทย-ต่างชาติ และประกันสังคมที่เพิ่มต่อเนื่อง และรพ.สาขาใหม่ไม่ถ่วงผลประกอบการแล้ว
• แนวรับ 20.30 บาท แนวต้าน 21.0//21.60 บาท
**บล.เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) คาดดัชนีฯ มีโอกาส rebound ในช่วงเช้า แต่ประเด็นไต้หวัน-จีน ยังมีแรงกดดันต่อตลาด การเยือนไต้หวันของ Pelosi ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ เป็นตัวกดดันตลาด หากเกิดสงคราม (ดูการซ้อมรบของจีน เริ่มพรุ่งนี้) หรือการ Ban สินค้าจากจีนที่เพิ่มขึ้น เรามองว่าหุ้นในตลาดไทยจะถูกกระทบจากส่วนที่นำเข้าจากไต้หวัน อาทิ แผงวงจรไฟฟ้า(อีเล็คทรอนิคส์)
นักลงทุนรอดูการประชุม OPEC+ คืนนี้(3) ที่คาดว่าจะมีการเพิ่มกำลังการผลิต จากเดิมที่ 6.48 แสนบาร์เรล/วัน ซึ่งจะมีผลต่อหุ้น PTTEP
สถานการณ์ยูเครน เรือสินค้าเกษตรลำแรกมาถึงตุรกีแล้ว เรามองว่าภาพรวมของสถานการณ์นี้ดูดีขึ้นตามลำดับ
วันนี้อนุกรรมการ กสทช. จะมีการเผยผลศึกษากรณี TRUE-DTAC ก่อน กรรมการ กสทช. จะสรุปในวันที่ 10 ส.ค. คาดดีลนี้จะสามารถผ่านไปได้ด้วยดี มีผลต่อราคาหุ้น TRUE-DTAC
การปรับขึ้น ค่า FT รอบเดือน ก.ย.-ธ.ค.ยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ตลาดจะถูกสะท้อนจากราคาค่า FT ที่อาจจะมีการปรับลดจากเดิมที่ 0.6866 บาท/หน่วย มาตั้งแต่วานนี้
META_W6 เริ่มทำการซื้อขายวันนี้เป็นวันแรก
ตัวเลขเศรษฐกิจวันนี้ คือ ยอดค้าปลีกของยุโรป
Strategy
ตลาดโดยรวม ถือว่าดี ความเห็น Fed ไม่ได้ต้องการเร่งขึ้นดอกเบี้ย แต่ตัวฉุดคือ การเยือนไต้หวันของ Pelosi ที่จะทำให้จีน-ไต้หวัน เกิดความบาดหมางกันต่อไป ทำให้วันนี้ ตลาดอาจ rebound แต่ขึ้น/ลง ไปอยู่ที่บทจบของเรื่องไต้หวัน การลงทุน ให้เก็งกำไรช่วงสั้นๆ ไปก่อน
หุ้นที่อิง กับสถานการณ์ไต้หวัน จะเป็นกลุ่มอีเล็คทรอนิคส์ และกลุ่มอาหาร ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งบวกและลบ
หุ้นราคาลงมาลึก และมีการดีดกลับ จับสัญญาณเก็งกำไร วันนี้เราชอบ ASIAN, TQM, AP
พอร์ตหุ้นวันนี้เรานำ JMART, WICE, MTC, SPRC ออกจากพอร์ต และเพิ่ม TRUE*, ASIAN เข้ามา หุ้นในพอร์ตประกอบไปด้วย TRUE*(10%), ASIAN(10%), SPALI(10%), NEX*(10%), SCB(10%)
Strategy Stock Pick
TRUE*: (เป้าเชิงกลยุทธ์ 5.10 บาท) “ลุ้นดีลควบรวมสำเร็จ.. บ. ใหม่กลายเป็นเบอร์ 1 ด้านMarket Share”
•ดีลควบรวมมีสัญญาณสำเร็จ หลัง CP group ลงขันร่วมทุนกับ Telenor ใน Venture Cap 200 ล้านเหรียญสหรัฐ
•บ. ใหม่ที่จะเกิดจากการควบรวมจะมีฐานลูกค้ารวมมากกว่า 52.5 ล้านราย (Market Share 52.5%) แซง ADVANC ขึ้นเป็นเบอร์ 1 และจะมีต้นทุนด้าน Operation ลดลงจากการ Share Infrastructures และปรับโครงสร้างภายในใหม่
•Bloomberg Consensus ประเมินกำไรสุทธิปี 2022-2023 เฉลี่ยขาดทุนที่ -3.68 พัน ลบ. และ ขาดทุน -555 ลบ. ตามลำดับ
Technical : MEGA, DITTO
**บล.คิงส์ฟอร์ด จำกัด ประเมิน SET Index ทรงตัวในกรอบแนวรับ 1,575 – 1,580 แนวต้าน 1,600 ได้แรงหนุนจากโมเมนตัมบวกเศรษฐกิจในประเทศ และคาดโอกาสน้อยจะเกิดสถานการณ์รุนแรงจีน – ไต้หวัน แนะนำซื้อกลุ่มค้าปลีก BJC,AWC,CPN / กลุ่มเปิดเมือง OR,PTG,BEM / กลุ่มปลอดภัย BCH,BGRIM
PTG* (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 17.00 บาท) แนวโน้มผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดแล้ว โดยใน 2Q65 คาดกลับมาเติบโต QoQ ด้วยแรงหนุนจากปริมาณขายน้ำมันและค่าการตลาดที่ปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้เป็นผลจากการทยอยปรับเพดานราคาน้ำมันดีเซลขึ้นเป็น 35 บาท/ลิตร นอกจากนี้ธุรกิจ LPG และ Non-oil ยังดีขึ้นหลังจากที่มีการผ่อนคลายล็อกดาวน์ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัว ส่วนแนวโน้ม 2H65 โมเมนตัมยังเป็นบวกหากราคาน้ำมันปรับลดลงจะส่งผลดีต่อความต้องการเดินทางและการบริหารจัดการค่าการตลาด ขณะที่การ Spinoff บมจ.พีพีพี กรีน คอมเพล็กซ์ (PPPGC) เข้าตลาดเป็นปัจจัยบวกในระยะถัดไป
SNNP* (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย Bloomberg Consensus 19.80 บาท) คาดภาพการดำเนินงานยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยConsensus ประเมินกำไรสุทธิในช่วง 2Q65 อยู่ที่ 116 ลบ. (+51%YoY, +10%QoQ) ได้แรงหนุนในเชิงรายได้จากการ Reopening ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศโดยเฉพาะเวียดนามและกัมพูชา ขณะที่ทางบ.เองยังคงมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆอย่างต่อเนื่องตามกระแส ล่าสุดมีทั้งที่เป็น ขนมรูปน่องไก่ผสมใบกัญชา กลิ่นบาร์บีคิว และ น้ำผลไม้ ผสมน้ำใบกัญชา ขณะที่ระยะถัดไปยังมีปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตจากโรงงานในเวียดนามซึ่งคาดว่าจะทะยอยเปิดเป็น 3 เฟส(เฟสแรกในช่วงครึ่งปีหลังนี้ และ เฟสสุดท้ายช่วงปลายปีหน้า) ทั้งนี้ตลาดคาดว่าในปี65 และ66 กำไรสุทธิของ SNNP* จะสามารถขยายตัวได้โดดเด่นมาอยู่ที่ระดับ 492 ลบ. (+13%YoY) และ 609 ลบ.(+24%YoY) ตามลำดับ