รีเซต

"เคจีไอ" ชี้บาทแข็งดึงเม็ดเงินต่างชาติลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่ม (ชมคลิป)

"เคจีไอ" ชี้บาทแข็งดึงเม็ดเงินต่างชาติลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่ม (ชมคลิป)
มติชน
15 มิถุนายน 2563 ( 08:30 )
71
"เคจีไอ" ชี้บาทแข็งดึงเม็ดเงินต่างชาติลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่ม (ชมคลิป)

คลุกวงหุ้น : ‘เคจีไอ’ เชื่อบาทแข็งดึงเม็ดเงินลงทุนต่างชาติเข้าตลาดหุ้นไทยมากขึ้น คาาดัชนีปรับฐานในกรอบ 1,360-1,380 จุด

นายรักพงศ์ ไชยศุภรากุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยและกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในรายการคลุกวงหุ้นว่า ภาพรวมตลาดหุ้นประจำสัปดาห์นี้ ขณะนี้มีมูลค่าหุ้น (แวลูเอชั่น) ค่อนข้างแพง ซึ่งที่ผ่านมาพบว่า นักลงทุนสถาบันในประเทศ น่าจะมีกำไรจากการสะสมหุ้นในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างมาก ทำให้มีโอกาสและมีความเสี่ยง ที่นักลงทุนสถาบันจะปรับพอร์ตถือครอง หรือเห็นการขายทำกำไรออกมา ทำให้มุมมองตลาดในระยะสั้นมีความเสี่ยงมากขึ้น และมีโอกาสปรับฐานลงมาอยู่ในกรอบระดับ 1,360-1,380 จุด โดยเชื่อว่าการปรับลงในรอบนี้จะเป็นโอกาสในการเข้าสะสมหุ้นอีกครั้ง เพื่อรอการฟื้นตัวในระยะถัดไป หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ดูดีและชัดเจนขึ้น ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจทั้งในประเทศและเศรษฐกิจโลกมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นได้ค่อนข้างแรงในปี 2564

 

นายรักพงศ์กล่าวว่า สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามต่างประเทศ เป็นความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีน ในช่วงที่ผ่านมา มีความกังวลในส่วนของสหรัฐจะเพิ่มการภาษีการนำเข้าสินค้าระหว่างกัน หรือสงครามการค้า (เทรดวอร์) แต่ฝ่ายวิจัยเคจีไอประเมินว่า เนื่องจากขณะนี้อยู่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก ทำให้เชื่อว่าทั้ง 2 ประเทศจะไม่เก็บภาษีระหว่างกันเพิ่มเติม เพราะจะเป็นการซ้ำเติมตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของประเทศตนเอง โดยเชื่อว่าสหรัฐกำลังใช้ประเด็นนี้ ในการหาเสียงช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฝั่งของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่มีจุดยืนในการโจมตีรัฐบาลจีนมาตั้งแต่เริ่มต้น แต่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยจะมีค่อนข้างน้อยในระยะถัดจากนี้

 

“ส่วนทิศทางราคาน้ำมัน มีความผันผวนมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยประเมินว่าราคาน้ำมันในช่วงต่อจากนี้ มีโอกาสปรับฐานลง หรือเคลื่อนไหวไซด์เวย์ ในระดับ 35 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หลังจากเคลื่อนไหวแตะระดับ 40 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หรืออยู่ใกล้ระดับจุดสูงสุดที่ประเมินไว้แล้ว โดยในเดือนมิถุนายนนี้ เป็นเดือนสุดท้ายที่มีการลดกำลังการผลิตน้ำมันลงในหลายประเทศ ทำให้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมนี้ เป็นต้นไป จะเริ่มเห็นการกลับมาเพิ่มปริมาณการผลิตในหลายประเทศ โดยราคาน้ำมันจะเป็นอีกปัจจัยที่มีน้ำหนักกดดันราคาหุ้นพลังงานและปิโตรเคมี หลังจากปรับราคาขึ้นมาได้ดีในช่วงก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในช่วงต่อไป ตลาดหุ้นไทยจะต้องพึ่งพิงเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) มากขึ้น หลังจากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่าที่ประเมินไว้ ทำให้โอกาสที่ฟันด์โฟลว์จะเข้ามาสะสมหุ้นไทยและรับไม้ต่อจากนักลงทุนในประเทศมีมากขึ้น” นายรักพงศ์กล่าว

ส่วนหุ้นเด่นจะเป็นตัวไหน ต้องติดตามในรายการคลุกวงหุ้น!

ข่าวที่เกี่ยวข้อง