‘เคจีไอ’ ชี้ตลาดหุ้นไทยยังเจอแรงกดดันจากการเมืองไม่นิ่ง-เสี่ยงโควิดรอบ 2
นายรักพงศ์ ไชยศุภรากุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยและกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในรายการคลุกวงหุ้นว่า ภาพรวมตลาดหุ้นประจำสัปดาห์นี้ ยังอยู่ในช่วงไม่ดีมากนัก เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจในต่างประเทศปรับตัวดีขึ้น สถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกเริ่มมีความนิ่งมากขึ้น แต่ตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยกดดันเฉพาะตัว ได้แก่ การเมืองที่มีความไม่แน่นอน และการพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในประเทศเพื่อนบ้านไทย อาทิ เมียนมาร์ ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยยังค่อนข้างด้อย หากเทียบกับตลาดหุ้นต่างประเทศ
นายรักพงศ์ กล่าวว่า ปัจจัยภายนอกที่ต้องติดตามเป็นสถานการณ์การระบาดโควิด-19 โดยภาพรวมการแพร่ระบาดโควิด-19 ในสหรัฐและยุโรป เริ่มปรับตัวดูดีขึ้นบ้าง ซึ่งตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั่วโลกที่ยังปรับตัวสูงขึ้น เป็นการพบจากประเทศอินเดีย ที่ตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง ส่วนสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศ อยู่ในเกณฑ์ที่ดี และสามารถรับมือได้ดีมาก แต่ความไม่แน่นอนและความเสี่ยงที่มีอยู่ ทำให้รัฐบาลยังไม่กล้าที่จะเปิดประเทศรับการเดินทางเข้ามาของต่างชาติอีกครั้ง ซึ่งต้องติดตามต่อว่า ภายในเดือนตุลาคมนี้ หากมีการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว สถานการณ์จะเป็นอย่างไร ซึ่งในขณะนี้ มีความกังวลการปิดด่านชายแดนหลายด่านในเมียนมาร์ เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในเมียนมาร์ อยู่ในอัตราที่เร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยประเมินในกรณีเลวร้ายสุด หากพบว่ามีเชื้อโควิด-19 หลุดเข้ามาระบาดในจังหวัดต่างๆ ผ่านชายแดนไทย จะเป็นปัจจัยที่สร้างความกดดันให้กับบรรยากาศหุ้นไทยในเชิงลบได้สูงมาก
นายรักพงศ์ กล่าวว่า ในส่วนของความสัมพันธ์สหรัฐและจีน ถือเป็นปัจจัยที่มีปรับดูดีขึ้น หลังสหรัฐและจีน ยอมเจรจาการค้าร่วมกัน ซึ่งแม้จะขายสินค้าระหว่างกันได้ไม่มาก เพราะติดปัญหาเรื่องการระบาดเชื้อโควิด-19 แต่เมื่อมีการเจรจาร่วมกัน และสามารถพูดคุยข้อตกลงเบื้องต้นได้ ก็จะลดแรงกดดันเชิงลบลง โดยเฉพาะกรณีการกดดันบริษัทเทคโนโลยีของจีน จากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ด้านทิศทางค่าเงินบาท มีแนวโน้มอ่อนค่าเกินปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริง เพราะความจริงแล้ว การที่ค่าเงินสหรัฐปรับอ่อนค่าลงรุนแรง และตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศไทย เริ่มกลับมาดีขึ้น ค่าเงินบาทควรตอบรับด้วยการปรับแข็งค่า แต่เนื่องจากไทยมีปัจจัยกดดันเฉพาะ ได้แก่ การเคลื่อนไหวทางการเมืองของฝ่ายต่างๆ รวมถึงการขาดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หลังจากนายปรีดี ดาวฉาย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ยื่นหนังสือลาออกในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งประเมินว่าปัจจัยเหล่านี้ จะกดดันให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในโซนอ่อนค่าต่อไป
“กลยุทธ์ที่แนะนำในการลงทุน ฝ่ายวิจัยเคจีไอประเมินว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วง 1-3 สัปดาห์ข้างหน้านี้ ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสที่จะปรับลดระดับลงมา และหลุดระดับ 1,300 จุดได้ ซึ่งถือเป็นจังหวะในการเข้าซื้อสะสมต่อไป” นายรักพงศ์กล่าว
ส่วนหุ้นเด่นจะเป็นตัวไหน ต้องติดตามในรายการคลุกวงหุ้น!