เมย์แบงก์ คาดตลาดมีความเสี่ยงถูกหั่นกำไร แนะ 7 หุ้นราคาลงเกิน 10%

#ทันหุ้น-บล.เมย์แบงก์(ประเทศไทย) ระบุว่ากำไรไตรมาส 4/67 ของบริษัทจดทะเบียนหรือบจ.ที่ออกมาต่ำกว่าคาด จึงเป็นความเสี่ยงต่อการปรับลดประมาณการกำไรตามมา ซึ่งปัจจุบัน Bloomberg Consensus ปรัยลด EPS ปี 2568 อยู่ที่ 95 บาทต่อหุ้น(ลงจากต้นปีที่คาดไว้ที่ 97 บาทต่อหุ้น)  เทียบกับคาดการณ์ของ EPS ของฝ่ายวิจัยเมย์แบงก์ คาดการณ์อยู่ที่ 91 บาทต่อหุ้น (ปรับลงจากต้นปีที่ 94 บาทต่อหุ้น) โดยประเมิน downside ในการปรับลดประมาณการ EPS จะอยู่ในช่วง 3-5% จากคาดการณ์ EPS ปี 2568 ปัจจุบันของฝ่ายวิจัยอยู่ในช่วง 86-88 บาทต่อหุ้น 

โดยหุ้นที่เสี่ยงสูงจะถูกปรับลดประมาณการกำไรลงคือกลุ่มปิโตร กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ จึงแนะนำ Underweight กับ 2 กลุ่มดังกล่าว  

ฝ่ายวิจัยเมย์แบงก์ คาดว่าหุ้นที่จะสามารถ Outperform ตลาดในระยะนี้ เป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำที่จะถูกปรับลดประมาณการกำไร และแนวโน้มกำไรปี 2568 ยังคงเติบโต แต่ราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปีกลับปรับลง (เกิน 10%)  มี 7 หุ้นที่น่าสนใจ คือ BA, COM7, PR9, SAK, ERW, CPN และ BBIK 

โดยกำไรไตรมาส 4/67 ของบจ. ขยายตัว แต่ไม่มากพอ เมื่อเทียบกับตลาดคาดหวังผลประกอบการไตรมาส 4/67 เฉพาะที่มีคาดการณ์ของ Bloomberg Consensus (ไม่รวม PF&REIT) ทั้งสิ้น 209 บริษัท คิดเป็นสัดส่วน 89% Market Cap ของ SET Index ทำกำไรต่ำกว่าตลาดคาด -12%  โดยกลุ่มที่กำไรต่ำกว่าคาด นำโดยกลุ่มปิโตรฯ ต่ำคาด 1,362% จาก PTTGC และ IVL จาก Spread ที่ฟื้นช้า กลุ่มพลังงานต่ำคาด -34% จากการรายการพิเศษรวมถึงกำไรจากการดำเนินงานที่ฟื้นช้ากว่าตลาดคาดของ IRPC BSRC SPRC PTT และกลุ่มอิเล็คทรอนิกส์กำไรต่ำคาด 78% ทั้ง DELTA จากค่าใช้จ่าย Royalty Fee สูงกว่าคาด KCE และ HANA ยอดขายที่หดตัวกระทบต่อประสิทธิภาพการทำกำไร 

อย่างไรก็ตาม หากไม่รวมกำไรจาก 3 กลุ่มดังกล่าว พบว่าโดยรวมดีกว่าตลาดคาดเล็กน้อย 3.7% ส่วนกลุ่มที่ขยายตัวดีกว่าคาด กลุ่มวัสดุก่อสร้างที่กำไรมากกว่าตลาดคาด 64% แต่หลักๆ มาจากกำไรพิเศษของ SCCC กลุ่มอสังหาฯ มากกว่าคาด 19% มาจาก SPALI แต่จุดที่ดีกว่าคาดมาจากรายได้อื่น (ดอกเบี้ยรับ) แต่กำไรจากการดำเนินงานใกล้เคียงตลาดคาด  AWC จากกำไรจากการดำเนินงานที่ดีกว่าคาด