SCM ปรับโมเดลแผนสู้ดิสรัปชั่น พาร์ตเนอร์เพิ่มค่า

#SCM #ทันหุ้น - SCM ตั้งเป้ารายได้ปี 2568 กลับมาโต 15% ชี้อุตสาหกรรม MLM เผชิญความท้าทาย ปรับแผนรุกพัฒนาสินค้าด้วยนวัตกรรมปีนี้มี 3-5 รายการ รวมถึงสร้างคอนเทนท์ครีเอเตอร์สร้างการรับรู้วงกว้าง เผยทุ่ม 20 ล้านบาทรุกการตลาดออนไลน์หวังคืนทุนกลางปีหน้า แย้มอยู่ระหว่างดีล 2 พาร์ทเนอร์จับมือสร้างสินค้าใหม่ใช้โมเดลแบ่งรายได้ คาดชัดเจนไตรมาส 3/2568
นายนพกฤษฏิ์ นิธิเลิศวิจิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCM ผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในรูปแบบเครือข่าย เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าขยายรายได้ในปี 2568ให้เติบโต 15%หลังจากปีที่ผ่านมาผลประกอบการหดตัวลงจากปัจจัยด้านการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมผลกระทบจากโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ที่เข้ามาดิสรับต์ตลาด ภาพเศรษฐกิจในประเทศที่ขยายตัวต่ำ รวมถึงคดี บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ที่สะเทือนความเชื่อมั่นทั้งวงการขายตรงโดยยังส่งมาถึงขณะนี้
บริษัทคาดการณ์ว่าการฟื้นฟูธุรกิจจะใช้เวลาประมาณ 3 ปี มีการปรับกลยุทธ์ทั้งในแง่การส่งผ่านเป้าหมายธุรกิจสู่สมาชิก (นักธุรกิจ) มีการปรับการตลาดให้เข้ากับภาวะอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ มีการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล ใช้แพลตฟอร์มมาร์เก็ตติ้ง รวมถึงสร้างคอนเทนท์ครีเอเตอร์ระบบ MCN (Multi-Channel Network) ขยายการรับรู้วงกว้างสนับสนุนแผนการฟื้นตัว ด้านการบริหารมุ่งเน้นการควบคุมค่าใช้จ่ายและสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้แข็งแกร่งขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความสำเร็จในระยะยาว
"เมื่อปีที่แล้ว 2567 ในส่วนของยอดขายเราได้ราว 680ล้านบาทถือว่าลดลงจากปี 2566เกิดจากหลายปัจจัยโดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมการถูกดิสรัปด้วยโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ผมกล้าให้ความมั่นใจเลยครับว่าการที่เราอยู่กับปัญหามา 2-3 ปี แล้วศึกษามาต่อเนื่องจนเข้าใจแล้วว่าธุรกิจนับจากนี้จะไปต่อต้องมีโฟกัสที่จุดใดบ้าง" นายนพกฤษฏิ์ กล่าว
*สินค้าผนวกนวัตกรรม
ปี 2568บริษัทให้ความสำคัญกับสินค้าเน้นที่ศักภาพมากกว่าจำนวนรายการผลิตภัณฑ์ ให้ความสำคัญกับตลาดสุขภาพและการดูแลร่างกายที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน เตรียมออกสินค้าใหม่ 3-5 รายการ ยกตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ฟื้นฟูเซลล์ระดับ DNA และดูแลรูปร่าง เป็นต้น
เช่นเดียวกับนโยบายดูแลนักธุรกิจที่จะตอบแทนผลประโยชน์อย่างสมเหตุผล ไม่มีการสร้างความเข้าใจเกินจริง ผลักดันขยายฐานนักธุรกิจเชิงคุณภาพมากกว่าปริมาณ ปัจจุบันบริษัทมีสมาชิกนักธุรกิจ 1.2 แสนราย แอ็คทีฟ 6 หมื่นรายหรือ 50%คิดจากยอดธุรกรรมอย่างน้อย 1 ครั้งต่อเดือน ซึ่งปีนี้บริษัทคาดหวังจะให้ตัวเลขเพิ่มเป็น 7หมื่นราย พร้อมกับเพิ่มยอดการสั่งซื้อต่อรายการให้มากขึ้นด้วยสินค้าที่ตอบโจทย์กว่าเดิม
*เวียดนาม-อินโดฯ
นอกจากนี้บริษัทมีการปรับกลยุทธ์การขายในตลาดเวียดนามและอินโดนีเซีย จากเดิมที่วางแผนใช้โมเดล MLM (Multi-Level Marketing) ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง เปลี่ยนเป็นการขายตรงแบบชั้นเดียวผ่านดีลเลอร์ซึ่งทำได้ทันทีข้อดีคือต้นทุนทำธุรกิจต่ำลง มีโอกาสในการขยายตลาด และเลี่ยงเข้าไปเผชิญหน้าแข่งขันทางตรงกับผู้ประกอบการ MLM อื่นที่เป็นเจ้าตลาดอยู่แล้ว
ส่วนในประเทศขณะนี้ SCM อยู่ระหว่างเจรจา 2 ดีลใหญ่ เพื่อร่วมพัฒนาสินค้าใหม่นอกเหนือไลน์ผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้องกับที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อสร้างโอกาสใหม่แบ่งรายได้ร่วมกัน โดยคาดว่าจะสรุปข้อตกลงได้ภายในไตรมาส 3/2568ใช้งบประมาณวัตถุดิบผลิตรายละ 5 ล้านบาท
บริษัทยังได้ลงทุน 20ล้านบาทผ่านบริษัทลูกเพื่อประกอบธุรกิจรูปแบบออนไลน์มาร์เก็ตติ้ง เพื่อทดสอบช่องทางการตลาดส่วนแบ่งใหม่ คาดบริษัมลูกนี้จะถึงจุดคุ้มทุนภายใน 1 ปี ครึ่งนับจากนี้ และหากประสบความสำเร็จก็จะมีการต่อยอดเพิ่มเติมอีก
*โครงสร้างนิ่งแล้ว
สำหรับกรณีช่วงเดือนธันวาคมปี 2567 ต่อเนื่องมายังต้นปี 2568ราคาหุ้นบริษัทปรับลงแรง พร้อมกับมีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการถือหุ้นอย่างมีนัยผลพวงการถูกบังคับให้ขายหุ้นที่ผู้ถือหุ้นใหญ่นำไปจำนำนั้น ยืนยันว่า ตอนนี้โครงสร้างลงตัวแล้ว บริษัทไม่มีแผนปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นหรือดึงนักลงทุนใหม่เข้ามาเพิ่มเติม