หุ้นเทคร่วง ฉุด 3 ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ทรัมป์บังคับใช้ภาษีนำเข้า

#หุ้นสหรัฐ #ทันหุ้น – บทวิเคราะห์ โดย บล.เอเซียพลัส
ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดลบเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (S&P500 -1.76%, Dow Jones -1.48% และ Nasdaq -2.64%) หลังทรัมป์ยืนยันจะบังคับใช้ภาษีนำเข้าต่อแคนาดาและเม็กซิโกในวันนี้ โดย ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้รับแรงกดดันหลักจากการปรับตัวลงรุนแรงของหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ AI อาทิ Nvidia (-8.69%), Broadcom (-6.05%), Arm Holdings (-8.04%), และ Arista Network (-7.57%)
ทรัมป์ยืนยันเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก 25% และเพิ่มภาษีจีนเป็น 20% โดย ไม่มีการเจรจาเพิ่มเติมและจะมีผลบังคับใช้ในวันนี้
ด้านแคนาดาตอบโต้ด้วยมาตรการภาษี มูลค่า C$3 หมื่นล้าน และอาจเพิ่มเป็น C$8.6 หมื่นล้าน ในอีกไม่กี่สัปดาห์ รวมถึงพิจารณา มาตรการห้ามส่งออกนิกเกิลและเรียกเก็บภาษีส่งออกน้ำมันดิบ ขณะที่เม็กซิโกยังรอท่าทีสุดท้ายจากทรัมป์ก่อนตัดสินใจตอบโต้
นอกจากนี้ จีนเตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเกษตร จากสหรัฐฯ เพื่อตอบโต้ภาษี Fentanyl ของทรัมป์ สถานการณ์นี้สร้างแรงกดดันต่อซัพพลายเชนในอุตสาหกรรมรถยนต์ เหล็ก และเซมิคอนดักเตอร์
นอกจากนี้ ทรัมป์สั่งระงับความช่วยเหลือทางทหารต่อยูเครนทันทีโดยอาวุธทั้งหมดที่ยังไม่ได้ส่ง รวมถึงที่อยู่ระหว่างขนส่งผ่านโปแลนด์จะถูกหยุดไว้จนกว่าเซเลนสกีจะแสดง "ความจริงใจ" ในการเจรจาสันติภาพ
การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังการเผชิญหน้าตึงเครียดในทำเนียบขาว เมื่อเซเลนสกีเรียกร้องหลักประกันความมั่นคงเพื่อป้องกันรัสเซียละเมิดข้อตกลง ทำให้ทรัมป์ตอบโต้ว่า "ให้กลับมาเมื่อพร้อมสำหรับสันติภาพ"
สถานการณ์นี้สร้างแรงกดดันให้ยุโรปต้องเร่งหาทางสนับสนุนยูเครนเอง แม้ว่าจะขาดศักยภาพด้านอาวุธที่สหรัฐฯ เคยจัดหาคำสั่งดังกล่าว ส่งผลให้การส่งมอบอาวุธสำคัญ เช่น ระบบจรวดนำวิถีและอาวุธต่อต้านรถถังถูกระงับ ขณะที่ยังไม่ชัดเจนว่าเงินช่วยเหลือที่เหลือ $3.85 พันล้าน จากรัฐบาลก่อนหน้าจะถูกนำมาใช้หรือไม่
นอกจากนี้ ข้อตกลงที่ให้สหรัฐฯ ได้สิทธิ์ส่วนแบ่งทรัพยากรธรรมชาติของยูเครนในอนาคตอาจ ล่มลง หลังจากที่เซเลนสกีปฏิเสธเงื่อนไขของทรัมป์
สหรัฐฯ รายงาน ดัชนี ISM Manufacturing ในเดือน ก.พ. ที่ 50.3 จุด ต่ำกว่าตัวเลขที่ตลาดคาดและเดือนก่อนที่ 50.7 จุด และ 50.9 จุด ตามลำดับ โดยคำสั่งซื้อใหม่ (New Orders) หดตัวลงสู่ระดับ 48.6 (-6.5 จุด MoM) เป็นครั้งแรกตั้งแต่ ต.ค. 2024 ขณะที่ การจ้างงานภาคการผลิตลดลงเป็นเดือนที่ 8 ในรอบ 9 เดือน สะท้อนถึงการชะลอตัวของภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ต้นทุนวัตถุดิบพุ่งขึ้นแรง โดยดัชนีราคาที่จ่าย (Prices Paid) ขยับขึ้น 7.5 จุด สู่ระดับ 62.4 ซึ่ง สูงสุดตั้งแต่ มิ.ย. 2022 โดยเฉพาะเหล็กและอะลูมิเนียมที่มีราคาพุ่งขึ้นทันทีหลังทรัมป์ประกาศขึ้นภาษี ทำให้ผู้ผลิตบางรายหยุดรับคำสั่งซื้อใหม่เนื่องจากความไม่แน่นอนว่าใครจะเป็นผู้รับภาระต้นทุน
OPEC+ ยืนยันว่าจะเพิ่มกำลังการผลิต 138,000 บาร์เรลต่อวันตั้งแต่เดือนหน้าแต่ยังเปิดทางให้ชะลอหรือกลับลำลดกำลังผลิตได้ หากภาวะตลาดไม่เอื้ออำนวย ส่งผลให้น้ำมันดิบ WTI Futures -2% ในวันที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ตลาดน้ำมันได้รับแรงกดดันจากความกังวลด้านอุปสงค์ที่อ่อนแอ และนโยบายการค้าของทรัมป์ โดยสำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดการณ์ว่า ตลาดน้ำมันโลกอาจเผชิญภาวะอุปทานล้นตลาดในปี 2025 แม้ OPEC+ จะคงกำลังผลิตในระดับเดิม ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันในระยะกลางถึงยาว
ยูโรโซนรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เบื้องต้น ในเดือน ก.พ. อยู่ที่ 2.4% YoY สูงกว่าที่ตลาดคาดที่ 2.3%ชะลอลงจากเดือนก่อนที่2.5% ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ลดลงเหลือ 2.6%จาก 2.7% เดือนก่อน แต่สูงกว่าตลาดคาดเล็กน้อย (2.5%)
ด้านตลาดหุ้นจีน ดัชนี Hang Seng Index (HSI) +0.28% หลังดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนจากสถาบัน Caixin ในเดือน ก.พ. ออกมาสูงกว่าคาดที่ระดับ 50.8 จุด (ตลาดคาดที่ระดับ 50.4จุด vs. เดือนก่อนที่ระดับ 50.1 จุด) ซึ่งเป็นการขยายตัวในอัตราที่รวดเร็วที่สุดในรอบ 3 เดือนขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุม "สองสภา (Two Sessions)" ที่จะเริ่มขึ้นในวันนี้
.
Intel (INTC US) -4.17%ขณะที่มีรายงานว่า Nvidia และ Broadcom กำลังทดสอบกระบวนการผลิต 18A ของ Intel ซึ่งเป็นเทคโนโลยีระดับสูงสำหรับชิป AI และประสิทธิภาพสูงสะท้อนความเชื่อมั่นในระยะแรกแม้ยังไม่มีคำสั่งผลิตจริง AMD ก็กำลังพิจารณา 18A แต่ยังไม่มีการส่งชิปต้นแบบ ขณะที่ Intel ตั้งเป้าท้าชน TSMC ในธุรกิจ Foundry แต่ต้องเผชิญความท้าทายด้านคุณภาพและความล่าช้า รัฐบาลสหรัฐฯ สนับสนุนการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศ โดยมีการหารือกับ TSMC เพื่อเสริมศักยภาพของ Intel นอกจากนี้ Microsoft และ Amazon ตกลงใช้โรงงาน Intel แต่ยังไม่มีรายละเอียดชัดเจนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และปริมาณการ
ผลิต
ฝ่ายกลยุทธ์ฯ มองการที่ Nvidia และ Broadcom กำลังทดสอบกระบวนการผลิต 18A ของ Intel เป็นสัญญาณที่ดีสำหรับ Intel เพราะหมายความว่าบริษัทได้รับความสนใจจากลูกค้ารายใหญ่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ อย่างไรก็ตาม การทดสอบไม่ได้หมายถึงการเป็นลูกค้าประจำ และยังต้องรอดูว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร การที่ AMD ยังอยู่ในช่วงพิจารณา และ Broadcom เคยผิดหวังมาก่อน ยังเป็นสิ่งที่ต้องจับตา นอกจากนี้ ธุรกิจ Foundry ของ Intel ยังคงมีปัญหาความล่าช้าและความท้าทายด้าน IP ซึ่งอาจทำให้บริษัทเสียเปรียบคู่แข่งอย่าง TSMC และ Samsung ที่มีห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งและลูกค้าประจำที่เหนียวแน่น
โดยเรายังคงมีมุมมองเป็นกลาง และยังไม่แนะนำลงทุนเพิ่มใน Intel ถึงแม้ข่าวนี้จะเป็นบวก แต่ Intel ยังต้องพิสูจน์ตัวเองในด้านประสิทธิภาพของกระบวนการผลิตและความสามารถในการแข่งขัน จึงแนะนำรอดูความคืบหน้าของกระบวนการ 18A ว่าจะสามารถดึงลูกค้ารายใหญ่เข้ามาได้หรือไม่
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตของ AI แนะนำมองหาทางเลือกอื่นที่มีโอกาสเติบโตชัดเจนกว่า เช่น Nvidia (NVDA), Broadcom (AVGO), หรือ TSMC (TSM) ที่ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตแข็งแกร่ง
ความเสี่ยงที่ต้องระวัง 1) ความล่าช้าในการผลิต 18A 2) การแข่งขันจาก TSMC และ Samsung 3) ปัญหาความเข้ากันได้ของ IP 4) ความไม่แน่นอนของลูกค้า
.
หุ้นสายการบินสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งจากดีมานด์ที่สูงและข้อจำกัดด้านอุปทาน โดยเฉพาะในกลุ่มพรีเมียมและเส้นทางบินระหว่างประเทศ ช่วยให้สายการบินรักษา Pricing Power และขยายมาร์จิ้น Redburn Atlantic อัปเกรด American Airlines (AAL US) เป็น "Buy" จากแนวโน้มรายได้ต่อหน่วยที่เติบโต ขณะที่ Delta (DAL US) และ United (UAL US) ยังคงเป็น "Buy" จากจุดแข็งในตลาดพรีเมียม ส่วน Southwest (LUV US) ถูกจัดเป็น "Sell" จากต้นทุนสูงและการแข่งขันที่รุนแรง อุตสาหกรรมได้รับแรงหนุนจากรายได้ช่องทางใหม่ เช่น พาร์ทเนอร์บัตรเครดิต และค่าโดยสารพรีเมียม เสริมความสามารถในการทำกำไรแม้ต้นทุนดำเนินงานเพิ่มขึ้น
ฝ่ายกลยุทธ์ฯ คาดว่าอุตสาหกรรมสายการบินสหรัฐฯ ยังคงได้รับแรงหนุนจากอุปทานที่จำกัด และดีมานด์ที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะในตลาดพรีเมียมและเส้นทางบินระหว่างประเทศ แม้ว่าต้นทุนด้านแรงงานและเชื้อเพลิงจะยังเป็นปัจจัยกดดัน แต่สายการบินยังสามารถรักษาระดับกำไรและขยายมาร์จิ้นได้เรายังคงแนะนำ Delta Air Lines (DAL) และ United Airlines (UAL) เนื่องจากทั้งสองบริษัทมีฐานลูกค้าพรีเมียมที่แข็งแกร่ง การขยายเส้นทางบินระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และโมเดลธุรกิจที่มีศักยภาพในการสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคง ซึ่งแตกต่างจากสายการบินอื่นๆ ที่ยังเผชิญต้นทุนที่สูงขึ้นและการแข่งขันที่รุนแรง
นอกจากหุ้นสายการบิน เรายังคงแนะนำ Booking Holdings (BKNG) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มท่องเที่ยวออนไลน์ที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการฟื้นตัวของการเดินทางทั่วโลก ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมเรือสำราญก็กำลังฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะ Royal Caribbean (RCL) และCarnival (CCL) ที่มีแนวโน้มการเติบโตของรายได้จากราคาตั๋วและอัตราการเข้าพักที่ปรับตัวสูงขึ้น พร้อมทั้งสามารถบริหารต้นทุนและภาระหนี้ได้ดีขึ้น ซึ่งช่วยให้การทำกำไรมีเสถียรภาพมากขึ้น
ความเสี่ยงที่ต้องระวัง 1) ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น 2) เศรษฐกิจชะลอตัว 3) ปัญหาหนี้สิน 4) ความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์