รีเซต

ZIGA มั่นถือบิทคอยน์พุ่งต่อ ลุยซื้อเพิ่ม-จ่อปันผลปีหน้า

ZIGA มั่นถือบิทคอยน์พุ่งต่อ ลุยซื้อเพิ่ม-จ่อปันผลปีหน้า
ทันหุ้น
6 ตุลาคม 2568 ( 23:50 )
2

นายศุภกิจ  งามจิตรเจริญ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิก้า อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ZIGA เปิดเผยกับ “ทันหุ้น” ว่า บริษัทเดินหน้ากลยุทธ์ลงทุนใน Bitcoin (BTC) อย่างต่อเนื่อง โดยราคาบิทคอยน์พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงเช้าวานนี้ (6 ต.ค.) หลังทะยานขึ้นทะลุระดับ 125,000 ดอลลาร์ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนสิงหาคม เนื่องจากการที่หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐ ถูกปิดดำเนินการ หรือชัตดาวน์

ทั้งนี้บริษัทมองเป็นสินทรัพย์ที่มั่นคงและมีศักยภาพเติบโตระยะยาว โดยใช้เงินสดและกำไรจากธุรกิจเหล็กทยอยเข้าซื้อแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging) อย่างสม่ำเสมอ พร้อมย้ำไม่จำหน่ายเหรียญที่ได้จากการขุดเพื่อเก็บเป็น “บัฟเฟอร์” ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา

นายศุภกิจ เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทถือครอง BTC อยู่ราว 10 กว่าเหรียญ โดยทยอยลงทุนด้วยเงินสดจากธุรกิจหลักผ่านกลยุทธ์ DCA ครั้งละประมาณ 10 ล้านบาท ในจำนวนนี้แบ่งเป็นเหรียญที่ได้จากการขุดโดยไม่มีต้นทุนราว 3 เหรียญ ซึ่งหากขายในราคาตลาดปัจจุบันราว 4 ล้านบาทต่อเหรียญ จะมีกำไรทันทีราว 12 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 8 เหรียญ เป็นเหรียญที่ทยอยซื้อเพิ่ม

ผู้บริหารย้ำว่า บริษัทไม่ขายเหรียญที่ขุดได้ เพราะมองว่าเป็นสินทรัพย์สำรองสำคัญ ช่วยให้บริษัทไม่มีความเสี่ยงขาดทุน แม้ราคา BTC จะปรับลดลงแรง ก็ยังมีเหรียญที่ได้จากการขุดช่วยหนุนไม่ให้เกิดผลขาดทุน ขณะที่การขุด BTC ของบริษัทดำเนินต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน

“เรามอง BTC ในมุมระยะยาวแบบเดียวกับนักลงทุนรายใหญ่ระดับโลก เช่น Michael Saylor ที่เน้นการถือครอง ไม่กำหนดจุดขาย เพราะเชื่อว่า BTC เป็นสินทรัพย์ที่สามารถเก็บไว้เป็น Asset Back ได้ตลอดเวลา และความเสี่ยงต่ำกว่าการฝากเงินในธนาคารที่ค้ำประกันเพียง 1 ล้านบาท หรือการลงทุนในหุ้นกู้ที่หลายบริษัทมีปัญหา” นายศุภกิจ กล่าว

สำหรับแผนในปีหน้า นายศุภกิจ เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมใช้เงินที่ได้รับจากการชนะคดีความกับ บริษัท เอ็มพี ไมเนอร์ เทรดดิ้ง จำกัด ซึ่งศาลมีคำสั่งให้คู่กรณีจ่ายเงินชดใช้กว่า 100 ล้านบาท หากได้รับตามแผนที่เป็นการชำระก้อนเดียว บริษัทจะจัดสรรส่วนหนึ่งไปเป็นเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น และนำส่วนที่เหลือไปลงทุนซื้อ BTC เพิ่มเติมเพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านสินทรัพย์

ด้านธุรกิจเหล็กซึ่งยังคงเป็นธุรกิจหลักของ ZIGA ซึ่งบริษัทได้ปรับปรุงและขยายเครื่องจักรตามรอบวาระ รวมถึงปรับกลยุทธ์ลดการพึ่งพาลูกค้ารายใหญ่ โดยหันมาเน้นจำหน่ายแบบ B2C (Business-to-Consumer) มากขึ้น ปัจจุบันลูกค้ารายใหญ่เหลือเพียง 30% ขณะที่อีก 70% เป็นลูกค้ารายย่อย การปรับกลยุทธ์ดังกล่าวเริ่มเห็นผลชัดเจน ช่วยให้ผลประกอบการของบริษัททยอยฟื้นตัวและมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ZIGA มั่นใจว่าการเดินหน้ากลยุทธ์ลงทุนใน BTC ควบคู่กับการปรับโครงสร้างธุรกิจเหล็ก จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงและยั่งยืนแก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง