‘บิทคอยน์’ บินสูง 2 ปี แผนเก็งหุ้นเกี่ยวพัน

#บิทคอยน์ #ทันหุ้น – กูรูแห่ประสานเสียง “บิทคอยน์” ยังคงสูงได้ “นายกฯฟินเทค” ชี้ทรัมป์ผลักดันยาว 2 ปี ด้าน “โดม เจริญยศ” มอง ALTCOIN จะขึ้นตาม ขณะที่ “โค้ซเป๊ก” เชื่อมีหลายบจ.จะลงทุนบิทคอยน์ แก้ปัญหาธุรกิจหลักโตช้า “นักวิเคราะห์” เปิดโผพร้อมสูตรเก็งหุ้นเกี่ยวพันบิทคอยน์ “บิ๊ก ZIGA” ทยอยเก็บต่อเนื่อง ชี้ยิ่งคนเข้าใจ ยิ่งขึ้น
นายชลเดช เขมะรัตนา นายกสมาคมฟินเทค ประเทศไทย เปิดเผยกับ “ทันหุ้น” ว่า การพุ่งขึ้นของราคาบิทคอยน์ (Bitcoin) จนทะลุระดับ 125,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 4 ล้านบาท จากการสนับสนุนของรัฐบาลสหรัฐ นับตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีทรัมป์ขึ้นมา รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของ เลขาธิการ ก.ล.ต. คนใหม่ของสหรัฐ นอกจากนี้ยังตั้งข้อสังเกตว่าลูกชายของทรัมป์มีบทบาทหลายอย่างที่เกี่ยวกันกับคริปโทเคอร์เรนซี ตลอดจนคนสนิทหรือที่ปรึกษาของทรัมป์ในเรื่องบิทคอยน์ได้รับงานจาก Tether ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำเหรียญสเตเบิลคอยน์ USDT ดังนั้นทั้งรัฐบาลอเมริกาและเอกชน กำลังเอื้อประโยชน์ให้กันในตลาดนี้
ประเมินว่ากระแสการเก็งกำไรและการสนับสนุนนี้ก็ยังมีโอกาสดำเนินต่อไปได้ ในระยะเวลาดำรงตำแหน่งของทรัมป์อีก 2 ปี อย่างไรก็ตาม Bitcoin ยังคงมีความผันผวนที่สูงมาก แนะนำให้ใช้กลยุทธ์เทรดดิ้งมากกว่า
@ จับตา ALTCOIN
นายโดม เจริญยศ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ บริษัท โทเคไนน์ จำกัด เปิดเผยกับ “ทันหุ้น” ว่า ขณะนี้ Bitcoin กำลังอยู่ในช่วงเทรนด์ขาขึ้น แต่ก็รู้สึกแปลกใจที่ราคาพุ่งขึ้นมาถึงขนาดนี้และทำ All Time High ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งปัจจัยที่อาจส่งผลคือการที่สหรัฐชัตดาวน์ และทำให้ราคาทองคำขึ้นด้วย อย่างไรก็ดียังไม่ทราบแน่ชัดว่าราคา Bitcoin จะไปจบที่ตรงไหน และมองว่าราคา 4 ล้าน ถือว่า แพงอยู่เหมือนกัน อย่างไรก็ดีมองว่า Bitcoin จะไม่ลงเร็ว แต่ก็ไม่น่าจะไปต่อมากนัก ดังนั้นจึงเชื่อว่าจะถึงเวลาเหรียญชนิดอื่นหรือ Altcoin ที่จะขึ้นตามมา เพราะมองว่ากำไรที่ได้จาก Bitcoin จะถูกนำไปใช้ลาก Altcoins ซึ่งเป็นสูตรที่เกิดขึ้นทุกปีอยู่แล้ว
อย่างเช่น BNB ที่ขึ้นมามากสุด จาก 400 ดอลลาร์ ขึ้นมาถึง 1,200 ดอลลาร์ เป็น All Time High เชื่อว่า CZ ผู้ก่อตั้งเหรียญ BNB ซึ่งได้ขาย BTC มาตลอด จะนำเงินมาเพื่อลาก BNB เพราะอยากจะเป็นเหรียญเบอร์ 4 ของโลก ส่วน Ethereum (ETH) ที่ไม่ได้วิ่งแรงมากนักเป็นเพราะว่ามีคนถือหลายคน มี ETF และมีกองทุน ทำให้การดันเหรียญจะยากกว่า
@ มองบจ.จะหันลุย BTC
นายปุณยวีร์ จันทรขจร นักลงทุนชื่อดังและวิทยากรด้านการลงทุน เปิดเผยกับ “ทันหุ้น” ว่า ส่วนตัวใช้กลยุทธ์ถือยาวในการลงทุน Bitcoin จากธีมหลักคือการป้องกันความเสี่ยงจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์
ส่วนการลงทุน Bitcoin ของบริษัทจดทะเบียน มองว่าจะเกิดขึ้นมาก เนื่องจาก การลงทุนใน BTC คือการกระจายเงินไปหาจุดที่มีโอกาสได้กำไรจากส่วนต่างของราคา ในช่วงที่ธุรกิจหลักอาจทำผลงานได้ไม่ดี ซึ่งก็จะคล้ายกับแบงก์ที่สินเชื่อและ NIM ไม่ดี ก็หันไปเน้นกำไรจากเงินลงทุนหรือสินทรัพย์
“หากบริษัทเห็นว่าผลตอบแทนจากการลงทุนใน Bitcoin เช่น 36% ทบต้นใน 3 ปี สูงกว่าผลตอบแทนจากธุรกิจทั่วไป เช่น 12% IRR บริษัทก็อาจกระจายเงินบางส่วนไปลงทุนใน BTC อย่างไรก็ดีบริษัทต้องแจ้งให้นักลงทุนทราบอย่างชัดเจนว่ากำไรที่เกิดขึ้นมาจากการทำกำไรที่ยังไม่รับรู้ จากการถือ Bitcoin เนื่องจากยังไม่ได้มีการขาย”
ในส่วนนักลงทุนหากเชื่อว่า Bitcoin จะขึ้นเหมือนกัน ก็สามารถซื้อ Bitcoin โดยตรงได้ ซึ่งจะง่ายกว่าการลงทุนในบริษัทที่ไปลงทุนบิทคอยน์ ทั้งนี้ส่วนตัวจะพิจารณาลงทุนในหุ้นบริษัทที่มีการถือ BTC ก็ต่อเมื่อ ธุรกิจหลักดีและมีการจ่ายปันผลจากธุรกิจหลัก และนำเงินไปลงทุนใน BTC ซึ่งจะเป็นเหมือน “ลมหนุน” ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นไม่ตกง่ายๆ เพราะมีโอกาสบุ๊กกำไรพิเศษในอนาคต
@ โผหุ้นเกี่ยวกันบิทคอยน์
นายอาทิตย์ จันทร์สว่าง ผู้อำนวยการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ “ทันหุ้น” ว่า นักลงทุนควรเน้นแค่การเก็งกำไรหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin หรือเป็นเพียงการเทรดดิ้งตามตัว Bitcoin ที่พุ่งขึ้นมา แต่ยังไม่เหมาะกับการถือยาว เพราะในเชิงพื้นฐานบริษัทไทยส่วนใหญ่ไม่ได้มีการเชื่อมโยงโดยตรงกับเหมืองขุด Bitcoin หรือถ้ามีก็มีขนาดที่ไม่ใหญ่มาก และยังไม่สามารถบุ๊กกำไรที่ยังไม่รับรู้จากการถือ Bitcoin ที่ราคาเพิ่มขึ้นได้ ตราบใดที่ยังไม่มีการขาย ซึ่งผู้ถือหุ้นก็จะยังไม่ได้ประโยชน์โดยตรง
ส่วนหุ้นที่เกี่ยวพันกับ BITCOIN ที่เก็งกำไรได้ประกอบด้วย TTA แนวต้าน 4.65 บาท JTS แนวต้าน 30.65 บาท ZIGA แนวต้านเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน ที่ 1.30 บาท BTC แนวต้าน 0.40 บาท และ XPG แนวต้าน 0.56 บาท ซึ่งการขึ้นของราคาหุ้นเหล่านี้ เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นหลายรอบแล้วเมื่อ Bitcoin ทำราคาสูงสุดใหม่
@ ZIGA เห็นอนาคต
นายศุภกิจ งามจิตรเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิก้า อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน หรือ ZIGA ยอมรับว่า บริษัทมีกำไรจากการถือครองบิทคอยน์ที่มีราคาสูง ซึ่งมีการขุดราว 3 บิทคอยน์ การซื้อเข้ามาราว 7 บิทคอยน์ ซึ่งได้มีการรายงานในตลาดหลักทรัพย์ต่อเนื่องแล้ว ซึ่งในส่วนการซื้อมีราคาต้นทุนเฉลี่ยราว 114,000 ดอลลาร์ ดังนั้นราคาที่เพิ่มขึ้นบริษัทก็มีกำไรที่ยังไม่รับรู้ ทั้งนี้บริษัทยังคงใช้วิธีการทยอยซื้อต่อเนื่อง DCA ซึ่งซื้อบิทคอยน์อย่างต่อเนื่องเดือนละ 1-2 ครั้ง ซึ่งการขึ้นของบิทคอยน์มาจากพื้นฐานหลักคือ ความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นของผู้คนในตลาด และมีการเก็บ BTC อีกมุมหนึ่งคือกลไกที่สหรัฐการดึงสภาพคล่องผ่านสเตเบิลคอยน์ USDT ที่จะช่วยดึงเงินดอลลาร์สหรัฐ กลับเข้าสู่ระบบ โดยผ่านการซื้อ USDT และโยนเข้าสู่ BTC ทำให้ดอลลาร์มีเสถียรภาพมากขึ้น ซึ่ง “ถ้าคนยิ่งเข้าใจเท่าไหร่ Bitcoin จะยิ่งขึ้นเท่านั้น”
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
