รีเซต

“วรภัค“เปิดฐานะการคลังเปราะบาง”หนี้สูง-รายได้ต่ำ“เผชิญปัญหาความเชื่อมั่น

“วรภัค“เปิดฐานะการคลังเปราะบาง”หนี้สูง-รายได้ต่ำ“เผชิญปัญหาความเชื่อมั่น
ทันหุ้น
24 กันยายน 2568 ( 09:36 )
3

#ทันหุ้น “วรภัค“เปิดฐานะการคลังหลังโควิดเปราะบาง”หนี้สูง-รายได้ต่ำ“ รัฐบาลเผชิญแรงกดดันเชิงโครงสร้างทางการคลัง หากเศรษฐกิจชะลอตัว-ดอกเบี้ยโลกสูงต่อเนื่อง อัตราส่วนหนี้อาจทะลุกรอบเร็วกว่าคาด และถูกตลาดการเงินลดความเชื่อมั่น

นายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังโพสต์ผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัวระบุ ฐานะการคลังไทยหลัง COVID-19:Baseline ที่ท้าทายสำหรับรัฐบาลใหม่  โดยประเทศไทยกำลังเผชิญโจทย์การคลังและเศรษฐกิจที่ซับซ้อนกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา หลังวิกฤต COVID-19 ทำให้โครงสร้างหนี้ รายได้ และรายจ่ายภาครัฐเปราะบางอย่างยิ่ง ภาพรวมความเสี่ยงทางการคลังถูกประเมินสูงถึง 7.6 จาก 10 (ก่อนโควิดเพียง 4.3) ซึ่งหมายถึง “พื้นที่หายใจ” ของรัฐบาลใหม่มีอยู่อย่างจำกัด ประกอบด้วย

1. หนี้สาธารณะ : แรงกดดันที่เข้าใกล้เพดาน

 โดยหนี้สาธารณะจะขึ้นแตะ ~65% ต่อ GDP ในปี 2568 และภาระดอกเบี้ยอาจเกิน 10% ของรายได้รัฐบาล แม้ยังไม่ทะลุเพดาน 70% แต่กำลังใกล้ “กันชนสุดท้าย” ที่ IMF ประเมินไว้ที่ 77–87%

Downside trigger: หากเศรษฐกิจชะลอตัวพร้อมกับดอกเบี้ยโลกสูงต่อเนื่อง อัตราส่วนหนี้อาจทะลุกรอบเร็วกว่าคาด และถูกตลาดการเงินลดความเชื่อมั่น

2. รายได้ภาครัฐโครงสร้างจัดเก็บที่อ่อนแรง โดยสัดส่วนรายได้รัฐบาลต่อ GDP ต่ำกว่ามาตรฐานโลก~3% ซึ่งจุดอ่อนสำคัญ คือ แรงงานนอกระบบมากกว่า 50% ไม่มี Capital Gain Tax ซึ่งคงยังไม่มีนโยบายจัดเก็บภาษีเรื่องนี้ในระยะระยะเวลาอันใกล้ ขณะทึ่ ภาษีทรัพย์สินและมรดกต่ำ, VAT ยังคงต่ำที่7% (ในขณะที่ประเทศรอบบ้านเราอยู่ที่ 12 ถึง 15% กันทั้งนั้น), ภาษีสิ่งแวดล้อมยังไม่เกิดขึ้น และ รายได้จากพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติลดลง

Downside trigger: หากไม่สามารถปฏิรูปภาษีได้จริง รายได้ต่อ GDP จะไม่ขยับ และเสถียรภาพหนี้อาจจะทรุดลงเรื่อยๆ

3. รายจ่ายภาครัฐภาระที่ขยายตัวต่อเนื่อง

 โดยค่าใช้จ่ายบุคลากรและบำนาญเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลข้าราชการ โดยเฉพาะ OPD พุ่งไม่หยุด กองทุนชราภาพเสี่ยงไม่ยั่งยืน และแรงงานนอกระบบไร้หลักประกันเกษียณ

Downside trigger: หากการใช้ Escape Clause ถูกบิดเบือนเพื่อเพิ่ม “รายจ่ายลงทุนเทียม” จะทำให้ฐานะการคลังเสื่อมเร็ว

4. โครงสร้างเศรษฐกิจ-สังคมกับดักเชิงโครงสร้าง โดยสังคมผู้สูงอายุ  รายได้ภาษีหด รายจ่ายบำนาญและสุขภาพพุ่ง หนี้ครัวเรือนสูง 90% ต่อ GDP การบริโภคชะลอ VAT อ่อนแรง แรงงานนอกระบบครึ่งประเทศ ฐานภาษีแคบ

นอกจากนี้ ความเหลื่อมล้ำสูง โดย 1%% ถือครองรายได้ 23% ทำให้การปฏิรูปภาษีเผชิญแรงต้านภูมิรัฐศาสตร์และพลังงานราคาน้ำมันผันผวน บีบรัดการคลังจากการอุดหนุน

Climate risk: ไทยติดอันดับ 9 โลกในดัชนีความเสี่ยง ทำให้ต้องกันงบเพื่อบรรเทาและฟื้นฟูมากขึ้น

Downside trigger: Shock ภายนอก เช่น ราคาน้ำมันพุ่งหรือภัยพิบัติรุนแรง จะกระแทกงบประมาณทันที

5. ทางออกการปรับสมดุลการคลังต้อง “ครบวงจร”โดยรายจ่ายถูกจำกัดการโตของเงินเดือน -บำนาญ-สวัสดิการปฏิรูปกองทุนเกษียณ ส่วนรายได้ต้องปฏิรูปภาษีบุคคลและทุนขยาย VAT อย่างเหมาะสมจัดเก็บภาษีคาร์บอนเพิ่มรายได้จากทรัพย์สินรัฐ

 นอกจากนี้ กลไกกฎหมายควรใช้ PAYGO, กำหนดนิยามรายจ่ายลงทุนให้ชัดกลับสู่กรอบขาดดุล 3% ของ GDP เมื่อเศรษฐกิจฟื้น

“บทสรุป Baseline ของรัฐบาลใหม่ คือ รัฐบาลใหม่ไม่ได้เริ่มต้นจาก “กระดาษขาว” แต่จาก baseline ที่เต็มไปด้วย แรงกดดันเชิงโครงสร้างทางการคลัง ทุกด้าน โดยหนี้ รายได้ รายจ่าย และโครงสร้างเศรษฐกิจสังคม  กำลังบีบให้ fiscal space ของไทยแคบลงเรื่อย  หากไม่ปฏิรูปเชิงรุก ความเสี่ยงจะทวีคูณ และ downside triggers สามารถถูกจุดติดได้จากทั้งในและนอกประเทศ”

ดังนั้น โจทย์ใหญ่ของรัฐบาลใหม่จึงไม่ใช่แค่การ “เลือกใช้นโยบาย” แต่คือการ “เลือกจะเผชิญความจริงเพราะหากเพิกเฉย Baseline วันนี้จะกลายเป็นกับดักที่กัดกร่อนเสถียรภาพการคลังและเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง