อีลอน มัสก์ ชิงตัววิศวกรด้าน AI จาก Meta จำนวน 14 คน ศึกดึงดูดคนเก่งสะเทือนวงการเทคโนโลยี

แวดวงเทคโนโลยีต้องสั่นสะเทือนอีกครั้ง เมื่อมีรายงานว่า เอกซ์เอไอ (xAI) บริษัทของ อีลอน มัสก์ สามารถดึงตัววิศวกรด้าน AI จาก เมตา (Meta) ได้อย่างน้อย 14 คนตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา 

แม้ฝั่งมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก จะพยายามสู้ด้วยการเสนอค่าตอบแทนมหาศาลถึง 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อคน แต่มัสก์กลับอ้างว่าเขากำลัง “ชนะสงคราม” โดยไม่ต้องเล่นเกมเงินเดือนที่เขาเรียกว่า “ข้อเสนอที่บ้าบอ”

อีลอน มัสก์ บริษัท xAI เสนอเป้าหมายมากกว่าเงิน

แทนที่จะทุ่มงบมหาศาล xAI เลือกดึงดูดคนเก่งด้วย วัฒนธรรมองค์กรที่ “เน้นคุณธรรมสูง” โดยผลงานและหุ้นบริษัทคือแรงจูงใจหลัก ไม่ใช่การแย่งตัวด้วยการขึ้นเงินเดือนอย่างเดียว 

วิศวกรที่เข้าร่วมกับมัสก์ต้องทำงานแบบ “Ultra-Hardcore Engineering” สัปดาห์ละ 7 วัน ภายใต้ความเข้มข้นสไตล์สตาร์ตอัปที่เคยสร้างชื่อให้ Tesla และ SpaceX 

เสียงวิจารณ์จากวงการ AI 

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วยกับแนวทางนี้ ดาริโอ อโมเดอี (Dario Amodei) ซีอีโอของ Anthropic เตือนว่าแพ็กเกจเงินเดือนมหาศาลของ Meta อาจสร้าง “วัฒนธรรมทีมที่เป็นพิษ” และชี้ว่าการให้รางวัลแบบลอตเตอรี่กับบางคน ขณะที่อีกหลายคนได้ค่าตอบแทนปกติ อาจบั่นทอนความเป็นธรรม 

ด้าน Meta เองออกมาโต้ว่า ข้อมูลการดึงตัววิศวกรที่มัสก์พูดถึงบางส่วน “ไม่ถูกต้อง” พร้อมย้ำว่า Meta ยังมีข้อได้เปรียบเชิงโครงสร้างพื้นฐานและให้อิสระนักวิจัยมากกว่า

เงินสดทันที vs. ภารกิจระยะยาว

การเคลื่อนไหวครั้งนี้สะท้อนความแตกแยกสำคัญในวงการเทคโนโลยี โดยทางด้านบริษัท Meta เสนอความมั่งคั่งทันทีและโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคง ขณะที่บริษัท xAI เสนอหุ้น วัฒนธรรมที่เข้มข้น และโอกาสสร้างสิ่งยิ่งใหญ่ตั้งแต่ศูนย์

สำหรับวิศวกร AI ที่จับตาสถานการณ์ นี่คือสองเส้นทางอาชีพที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง และผลลัพธ์ของศึกนี้อาจเปลี่ยนเกมการสรรหาคนเก่งของอุตสาหกรรม AI ในอนาคต ที่ทุกบริษัทต้องแข่งขันกันทั้งเรื่องเทคโนโลยี วัฒนธรรมองค์กร และวิสัยทัศน์การทำงาน

ซีอีโอทั้ง 2 บริษัท เคยท้าชกมวยในเวทีกรง

สำหรับอีลอน มัสก์ และมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ทั้งสองมีมุมมองต่อ AI ต่างกันอย่างสิ้นเชิง และเคยปะทะกันจนเป็นข่าวหลายครั้ง โดยทาง อีลอน มัสก์มองว่า AI มีความเสี่ยงร้ายแรงต่อมนุษยชาติหากไร้การควบคุม 

ขณะที่ซักเคอร์เบิร์กเชื่อว่า AI จะสร้างประโยชน์มหาศาลและไม่ควรถูกมองในแง่ลบเสมอมา ความเห็นที่ต่างสุดขั้วนี้ทำให้ทั้งคู่วิจารณ์กันอย่างเปิดเผยในที่สาธารณะ

นอกจากนี้ ความขัดแย้งยังเคยขยายไปสู่ประเด็นส่วนตัวจนเกิดกระแส “การท้าชกมวย” ระหว่างทั้งสองคน แม้ท้ายที่สุดจะยังไม่เกิดขึ้นจริง แต่ก็สะท้อนการแข่งขันและความตึงเครียดที่มากกว่าธุรกิจธรรมดาในวงการเทคโนโลยี

ศึกแย่งชิงคนเก่งครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของเงินเดือนหรือหุ้น แต่เป็นการปะทะกันระหว่างวิสัยทัศน์และคุณค่าที่แต่ละองค์กรยึดถือ 

โลก AI กำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนสำคัญ และเส้นทางที่วิศวกรเลือกเดินอาจเป็นตัวกำหนดทิศทางของนวัตกรรมในทศวรรษหน้า ว่าใครกันแน่จะได้เป็นผู้นำยุคใหม่แห่งปัญญาประดิษฐ์ผู้ที่ให้ทุกอย่างเพื่อเป้าหมาย หรือผู้ที่ถือเงินทุนและทรัพยากรไว้ในมือ