EPGเป๋าตุงทัวร์จีน ยอดแก้ว-ฉนวนพุ่ง
#EPG #ทันหุ้น – EPG รับด้วยทัวร์จีนเที่ยว หนุนออเดอร์แก้ว-ฉนวนพุ่ง จ่อลุยผลิตถ้วยกาแฟร้านดังเต็มพิกัดปลายมกราคมนี้ กรุยทางโกยเงินระยะยาว แถมแจงค่าไฟฟ้าทะยานไม่กระทบ เหตุมีโซลาร์รูฟ 18 เมกะวัตต์ ช่วยลดต้นทุน ปีนี้ยืนเป้ารายได้โต 12% จากปีก่อน
รศ.ดร.เฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG เปิดเผยว่า บริษัทจะได้รับประโยชน์จากการที่ทัวร์จีนเดินทางเที่ยวต่างประเทศที่จะส่งผลบวกต่อธุรกิจอย่างชัดเจนในกลุ่มธุรกิจต่างๆ ให้ขยายตัวมากขึ้น
โดยในส่วนแรก คือ กลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์อาหาร (EPP) อาทิ แก้วสำหรับใส่เครื่องดื่ม จะได้รับผลดีโดยตรง จากการบริโภคในประเทศที่จะเติบโต ซึ่งจะผลักดันให้ยอดขายบรรจุภัณฑ์อาหารสำหรับการดื่มกินขยับสูงขึ้นด้วย
ขณะเดียวกันภาคธุรกิจโรงแรมต่างๆ ในประเทศขณะนี้เริ่มกลับมาทยอยปรับปรุงระบบปรับอากาศและภายในต่างๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่มากขึ้น ซึ่งถือเป็นอีกแรงสนับสนุนคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) ของกลุ่มธุรกิจสำหรับวัสดุก่อสร้าง(Aeroflex) เช่น ฉนวน เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น
ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของ EPG แบ่งเป็น กลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์อาหารประมาณ 20%, กลุ่มธุรกิจ Aeroflex อยู่ที่ราว 22-23% ส่วนที่เหลือนั้นมาจากกลุ่มธุรกิจธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ (Aeroklas)
ลุยแก้วกาแฟดังเต็มพิกัด
รศ.ดร.เฉลียว กล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมาบริษัทได้รับความไว้วางใจจาก"ร้านกาแฟเจ้าดังของไทย" ที่มีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ ให้รับงานผลิตแก้วกาแฟแบบไม่ต้องใช้หลอด และได้มีการเซ็นสัญญาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งส่งผลให้รายได้ของกลุ่มลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหาร (EPP) เติบโตมากขึ้น และน่าจะสามารถเดินเครื่องผลิตออเดอร์ในส่วนข้างต้นได้เต็มประสิทธิภาพช่วงปลายเดือนมกราคมนี้
หากทุกอย่างเป็นไปตามที่วางไว้ทาง EPG เชื่อว่าจะช่วยผลักดันให้การเติบโตของธุรกิจดังกล่าวปรับตัวดีขึ้น เนื่องจาก EPP มีกำลังการผลิตขนาดใหญ่ ที่สามารถสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มกำลังการผลิตด้วย
ค่าไฟพุ่งไม่กระทบ
ด้านประเด็นเกี่ยวกับต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้นบริษัทประเมินไม่มีผลกระทบต่อธุรกิจ เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ทุ่มเงินลงทุนประมาณ 300 ล้านบาท เพื่อติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากแผงเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคา ในพื้นที่โรงงานของธุรกิจในประเทศไทย คิดเป็นกำลังผลิตราว 18 เมกะวัตต์ เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงเกี่ยวกับต้นทุนค่าไฟฟ้าที่มีแนวโน้มขยับสูงขึ้นไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยเบื้องต้นคาดน่าจะสามารถช่วยลดต้นทุนส่วนนี้ได้ปีละราว 80-90 ล้านบาท
ส่วนงวดบัญชีปี 2566 (เม.ย.65 -มี.ค.66) บริษัทประเมินว่ารายได้จะเป็นตามเป้าที่ตั้ง ไว้เติบโต 12-15% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากออเดอร์ในกลุ่มธุรกิจต่างๆ มีทิศทางที่ดีขึ้นต่อเนื่อง ตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ประกอบกับบริษัทยังจะมีการ รับรู้รายได้จากธุรกิจใหม่เข้ามาเสริม ตลอดจนธุรกิจ ยังสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้เป็นอย่างดี