รีเซต

ถนนออสเตรเลียพังยับ ภาวะโลกร้อนเป็นเหตุ

ถนนออสเตรเลียพังยับ  ภาวะโลกร้อนเป็นเหตุ
TNN ช่อง16
6 ตุลาคม 2568 ( 12:30 )
9

ออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีเครือข่ายถนนยาวเกือบ 900,000 กิโลเมตร ซึ่งมากกว่า 80% ตั้งอยู่ในพื้นที่ชนบทหรือห่างไกล การดูแลรักษาโครงสร้างพื้นฐานขนาดมหึมานี้ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว แต่เมื่อภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงขึ้น งานของวิศวกรและเจ้าหน้าที่คมนาคมยิ่งยากขึ้นไปอีก ถนนหลายสายเริ่มทรุดโทรมเร็วกว่าที่เคย หลุมบ่อและความเสียหายกลายเป็นภาพชินตาในหลายพื้นที่ของประเทศ

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ออสเตรเลียเผชิญเหตุสุดขั้วทางธรรมชาติถี่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ปี 2023 เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่ทำลายสะพานสำคัญในเมืองฟิตซ์รอย ครอสซิง รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ขณะที่ในปีถัดมาไฟป่าทำให้ถนนสายหลักระหว่างรัฐเซาท์ออสเตรเลียกับเวสเทิร์นออสเตรเลียต้องปิดชั่วคราว และไม่นานหลังจากนั้นก็เกิดน้ำท่วมซ้ำอีกครั้ง เหตุการณ์เหล่านี้ตัดเส้นทางคมนาคมสำคัญ ทำให้หลายชุมชนต้องถูกตัดขาดจากโลกภายนอกนานหลายเดือน

ภาวะโลกร้อนถือเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ถนนเสื่อมโทรมเร็วขึ้น ความร้อนจัดและไฟป่ามีแนวโน้มทำลายพื้นถนนในภาคใต้และตะวันออก ส่วนฝนตกหนักและน้ำท่วมรุนแรงสร้างความเสียหายมากในภาคเหนือและตะวันออก ซึ่งมีแนวโน้มเกิดบ่อยขึ้นและรุนแรงกว่าเดิม

รัฐควีนส์แลนด์คือแนวหน้าในการรับผลกระทบนี้ เพราะมีถนนมากถึง 180,000 กิโลเมตร ซึ่งสองในสามอยู่ในพื้นที่ชนบทและห่างไกล ทำให้การดูแลซ่อมบำรุงยากลำบากยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ราว 40% ของถนนในรัฐสร้างบนดินเหนียวสีดำ ซึ่งเมื่อเปียกจะบวม และเมื่อแห้งจะยุบตัว ทำให้พื้นถนนแตกร้าวและเสียหายเร็วขึ้น

ฝนตกหนักและน้ำท่วมได้กลายเป็นสาเหตุหลักของการปิดถนน ทำให้เส้นทางขนส่งสินค้าถูกตัดขาด ธุรกิจเกษตรและเหมืองได้รับผลกระทบหนัก ซูเปอร์มาร์เก็ตในพื้นที่เหนือของรัฐเคยขาดแคลนอาหารและสินค้าเป็นเวลานานจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในปีนี้

นอกจากจะสร้างความเสียหายในระยะสั้นแล้ว ผลกระทบระยะยาวยิ่งรุนแรงกว่า ถนนมีอายุการใช้งานสั้นลง ซ่อมบำรุงบ่อยขึ้น และใช้งบประมาณสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น หลังเหตุอุทกภัยปี 2022 รัฐบาลควีนส์แลนด์ต้องใช้งบกว่า 350 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียเพื่อซ่อมถนนที่เสียหาย และจนถึงปี 2024 งบประมาณซ่อมบำรุงถนนที่จำเป็นแต่ยังไม่ได้รับจัดสรรพุ่งขึ้นถึง 8.6 พันล้านดอลลาร์


ปัญหานี้รุนแรงที่สุดในระดับท้องถิ่น เพราะเทศบาลแต่ละแห่งต้องดูแลถนนถึงสามในสี่ของทั้งรัฐ แต่กลับมีงบประมาณจำกัด ทำให้ต้องซ่อมแบบ “แก้เฉพาะหน้า” หลังน้ำท่วมหรือถนนพัง ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ยั่งยืนและมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าในระยะยาว การปิดถนนส่งผลกระทบโดยตรงต่อชุมชนชนบทและพื้นที่ห่างไกล บางเมืองไม่มีเส้นทางสำรอง หากถนนสายหลักพัง จะถูกตัดขาดจากอาหาร น้ำมัน น้ำสะอาด และการช่วยเหลือฉุกเฉิน เพื่อตอบสนองต่อวิกฤตนี้ รัฐบาลออสเตรเลียได้จัดทำ “แผนปฏิบัติการเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ” ซึ่งเน้นการปรับปรุงถนนให้แข็งแรงและทนต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง แต่ก็ยอมรับว่าไม่อาจป้องกันได้ทุกเส้นทาง จึงต้องมุ่งเน้นไปที่ “เส้นทางหลัก” ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและการคมนาคมของประเทศ 

นอกจากนี้ การก่อสร้างถนนยุคใหม่เริ่มหันมาใช้เทคโนโลยีและวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้ยางรถยนต์เก่ามาผสมในยางมะตอยเพื่อลดการแตกร้าว การใช้เศษแก้วและยางมะตอยเก่ามารีไซเคิล รวมถึงเครื่องจักรอัจฉริยะที่ช่วยปรับความหนาแน่นของพื้นถนนให้เหมาะสมมากขึ้น

แนวคิด “Betterment” หรือการฟื้นฟูถนนหลังภัยพิบัติให้ดีกว่าเดิม กำลังถูกผลักดัน เช่น การยกระดับสะพานให้สูงขึ้น การขยายท่อระบายน้ำ และการสร้างถนนในตำแหน่งที่ปลอดภัยกว่าเดิม เพื่อให้ถนนทนต่อภัยธรรมชาติรอบต่อไปได้ดีขึ้น

วิกฤตโลกร้อนไม่ได้ส่งผลเพียงต่อสิ่งแวดล้อมหรืออุณหภูมิเท่านั้น แต่ยังคุกคามโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของมนุษย์ เช่น เครือข่ายถนนของออสเตรเลียที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจประเทศ หากไม่เร่งปรับตัวและลงทุนในระบบคมนาคมที่ยั่งยืน ความเสียหายจะยิ่งทวีคูณในอนาคต การสร้างถนนให้ “แข็งแรงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” จึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็น “ความจำเป็น” เพื่อให้ประเทศสามารถเดินหน้าได้ท่ามกลางโลกที่ร้อนขึ้นทุกวัน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง