SCGPเจรจาM&Pอัพฐาน เล็งรับรู้รายได้1.4หมื่นล.

ทันหุ้น –SCGP ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ฟื้นตัว จากดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นหลังหลายประเทศเร่งกระจายวัคซีน จ่อรับรู้รายได้จาก M&P ประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาทต่อปี เริ่มทยอยรับรู้ปีนี้ เดินหน้าเจรจาต่อเนื่อง ระบุปีนี้ใช้เงินลงทุน 2 หมื่นล้านบาท เพิ่มกำลังการผลิต ขณะที่ยอมรับแนวโน้มไตรมาส 2/2564 ชะลอตัว หลังต้นทุนค่าขนส่ง-วัตถุดิบยังสูง ฟากโบรกกำไรปี 2564 โตแข็งแกร่ง ชี้การขยายตัวของบริการจัดส่งอาหารหนุน มองราคาเป้าหมาย 60 บาท
นายกุลเชฏฐ์ ธาราจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าทิศทางการธุรกิจบรรจุภัณฑ์จะมีการฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง แต่การฟื้นตัวได้เร็วหรือช้านั้นจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 แต่เชื่อว่าการเร่งกระจายการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในหลายประเทศน่าจะเป็นปัจจัยบวก ขณะเดียวกันธุรกิจของบริษัทอยู่ในกลุ่มอุปโภคบริโภค ซึ่งยังเติบโตได้ ขณะที่ราคาสินค้าบรรจุภัณฑ์และกระดาษในภูมิภาคมีแนวโน้มการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น
*รับรู้รายได้ M&P
นอกจากนี้การที่บริษัทมีการร่วมลงทุนรวมกับพันธมิตร (M&P) จำนวน 4 บริษัทอย่าง SOVI, Go-Pak, Duytan และ Intan จะสร้างรายได้ให้แก่บริษัทเต็มปีที่ราวปีละ 14,000 ล้านบาท โดยเริ่มทยอยเข้ามาในปีนี้ ขณะเดียวกันบริษัทยังมีการเจรจาร่วมลงทุนรวมกับพันธมิตร (Merger&Partnership) หรือ M&P อยู่หลายโครงการ โดยตามแผนบริษัทจะขยายการลงทุนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะมีการบริหารและวางแผนร่วมกันพันธมิตรเพื่อต่อยอดธุรกิจขยายตลาดใหม่และขยายฐานลูกค้า
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/2564 จะยังได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ทั้งในส่วนของราคาต้นทุนราคาพลังงาน, ต้นทุนเศษกระดาษ และต้นทุนเม็ดพลาสติกที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจาก Commodity Cycle มีทิศทางขาขึ้น ประกอบกับปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์จึงส่งผลให้ต้นทุนค่าระวางเรือปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และสูงต่อเนื่องมาจนถึงช่วงไตรมาส 1-2 ของปีนี้ รวมถึงมองว่าในช่วงไตรมาส 2มีวันหยุดยาวช่วงเทศกาลค่อนข้างมากทั้งในประเทศไทยและโรงงานในต่างประเทศ จึงทำให้กิจกรรมการดำเนินงานลดน้อยลง
*อัดงบลงทุน 2 หมื่นล.
สำหรับงบลงทุนปีนี้ไว้ประมาณ 20,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 20%ของรายได้รวม โดยแบ่งเป็นการใช้สำหรับงบขยายธุรกิจประมาณ 15,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นงบลงทุนที่ได้รับการอนุมัติแล้วทั้งการเข้าซื้อหุ้นบริษัท Go-Pak,Duy Tan และโครงการที่อยู่ระหว่างเจรจา รวมถึงโครงการก่อสร้างที่มีอยู่ในหลายประเทศทั้งที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและแล้วเสร็จภายในปีนี้
ได้แก่ โรงงานบรรจุภัณฑ์ที่ประเทศฟิลลิปปินส์ คาดว่าจะแล้วเสร็จช่วงไตรมาส 4/2564, โรงงานบรรจุภัณฑ์อ่อนตัว (Flexible Packaging) ที่ประเทศไทย คาดว่าจะแล้วเปิดดำเนินการในช่วงไตรมาส 4/2564 และโรงงานบรรจุภัณฑ์อาหาร ทั้งในประเทศไทยและในเวียดนาม ที่จะทยอยเปิดดำเนินการถึงปี 2565 โดยในช่วงไตรมาสแรกบริษัทใช้เงินลงทุนไปแล้วประมาณ 6,000 ล้านบาท และงบลงทุนที่เหลืออีก 5,000 ล้านบาท จะใช้สำหรับปรับปรุงประสิทธิภาพและพัฒนาสินค้านวัตกรรมใหม่ๆเพื่อสิ่งแวดล้อม
*ออเดอร์ใหม่ๆ ไหลเข้า
บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ระบุถึง SCGPว่า ภายหลังจากที่ SCGP ได้ซื้อกิจการ Go-Pak ทำให้ SCGP มีฐานลูกค้าและคำสั่งซื้อสินค้าใหม่ๆ จากสหราชอาณาจักร ทวีปยุโรป และทวีปอเมริกาเหนือเพิ่มมากขึ้น บริษัทจึงจะลงทุนโครงการขยายกำลังการผลิตจำนวน 2 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุนจำนวน 631 ล้านบาท เพื่อเร่งการเติบโตของธุรกิจบรรจุภัณฑ์อาหารในระดับโลก
คำแนะนำพื้นฐาน ข่าวดังกล่าวน่าจะเป็น Positive Sentiment ต่อราคาหุ้น นอกจากนั้นคาดการณ์การเติบโตของกำไรสุทธิปี 2564 รวมทั้งแนวโน้มธุรกิจที่ยังคงแข็งแกร่งจากการเติบโตของอุปสงค์ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจการขายสินค้าบนอินเตอร์เน็ต (e-tail) และการขยายตัวของบริการจัดส่งอาหาร น่าจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นได้ต่อไป อีกทั้งยังมีอัพไซด์ต่อประมาณการกำไรและราคาเป้าหมายจากการเข้าซื้อกิจการใหม่ในอนาคต จึงยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 60 บาท