รีเซต

เมื่อจีนใช้มังกรน้อย พลิกฟื้นชนบท (ตอน 4 ) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร

เมื่อจีนใช้มังกรน้อย พลิกฟื้นชนบท (ตอน 4 ) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร
TNN ช่อง16
25 มิถุนายน 2568 ( 16:44 )
17

กรณีศึกษาที่ 2 ก็ได้แก่ การจัดตั้งทีมงานนักวิชาการไปช่วยเกษตรกรในพื้นที่ชนบทใน “เชิงรุก” ผมขอใช้กรณีศึกษาที่เกิดขึ้นในฉงชิ่ง มหานครแห่งเดียวในด้านซีกตะวันตกของจีน เพราะจะได้ถือโอกาส “ขยายความ” กรณีศึกษาแรกที่เกี่ยวข้องไปพร้อมกัน

เรื่องมีอยู่ว่า สำนักงานไม้ผลและพืชสวนแห่งสถาบันวิทยาศาสตร์การเกษตรแห่งเขื่อนสามผาฉงชิ่ง (Chongqing Three Gorges Academy of Agricultural Sciences) ประเมินว่า พื้นที่เกษตรในนครฉงชิ่งจะประสบปัญหาภัยแล้งอย่างรุนแรงในช่วงฤดูร้อนปี 2022


ผู้อำนวยการสำนักงานฯ ในวัย 35 ปีพร้อมด้วยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ “ไม่นิ่งเฉย” ตัดสินใจ “เดินทางไกล” ลงพื้นที่เพื่อแจ้งเตือนและให้คำแนะนำแก่เกษตรกรเพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือล่วงหน้า โดยนำเสนอแนวคิดและข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับวิธีการพัฒนาอุตสหากรรมผลไม้เพื่อแก้ไขปัญหาด้านการเพาะปลูกและผลผลิต

คณะผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวมีข้อมูลอยู่ในมือว่า ส้มกว่า 50 สายพันธุ์สามารถอยู่รอดจากภัยแล้งได้หรือไม่ อย่างไร นอกจากการเพาะพันธุ์ส้มที่ทนต่อความแห้งแล้งแล้ว ทีมงานยังแนะนำถึงการปรับปรุงการให้น้ำกับต้นส้มแต่ละสายพันธุ์อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ

แม้จะต้องเผชิญกับภัยแล้งครั้งใหญ่ แต่ผลปรากฎว่า ส่วนผลไม้สาธิตจำนวน 13 แห่งสามารถเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวผลผลิตได้อย่างมีเสถียรภาพ และมีอยู่ 1 แห่งที่สามารถต่อสู้กับภัยแล้งได้เป็นอย่างดี และ เพิ่มผลผลิตได้มากกว่าปีก่อน โดยมีรายได้เพิ่มขึ้นราว 2,000 หยวนต่อไร่

การทำงานเชิงรุกดังกล่าวทำให้ผมนึกเปรียบเทียบกับสถานการณ์ราคาผลไม้ตกต่ำของบ้านเราในระยะหลังนี้ สภาพอากาศที่ดีในปีนี้ทำให้สวนผลไม้แทบทุกพื้นที่ได้ผลผลิตดีกว่าหลายปีที่ผ่านมา แต่เรากลับไม่ได้เตรียมรับมือกับปริมาณผลผลิตที่มากขึ้นดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการแปรรูป และการตลาดทั้งในและต่างประเทศ 

เท่านั้นไม่พอ รัฐบาลยังไม่อาจปลุกกระแส “ความรักชาติ” ให้ผู้บริโภคภายในประเทศหันมาบริโภคผลไม้ไทย การท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลงก็ทำให้ “อุปสงค์เชิงคุณภาพ” ที่เคยมีอยู่สูงในแต่ละปีก็หดหายไป หรือไม่ได้ “เร่งเครื่อง” แสวงหาตลาดส่งออกในวงกว้างเอาไว้มากพอ มารู้ตัวอีกทีผลไม้ก็ล้นตลาด ราคาดำดิ่งจนไม่พอค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวผลไม้เหล่านั้น และการแก้ไขปัญหาสไตล์ “แก้ผ้าเอาหน้ารอด” ครั้งใหม่ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เฮ้อ ...

กลับไปที่กรณีศึกษาดีกว่า เพราะนอกจากการแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้ผ่านคำแนะนำและการฝึกอบรมดังกล่าวแล้ว คณะผู้เชี่ยวชาญนำโดยผู้อำนวยการสำนักงานฯ คนเก่งก็ยังอุทิศตนกับการวิจัย การเพาะพันธุ์ไม้ผล และการส่งเสริมเทคนิคการเพาะปลูกใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคิดค้นสายพันธุ์และเทคนิคการเพาะปลูกใหม่ที่เข้ากับสภาพอากาศและสภาพแวดล้อมที่เป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่อ่านเก็บน้ำในบริเวณเขื่อนสามผา

ยกตัวอย่างเช่น การเดินทางไปในพื้นที่การเพาะปลูกพลัมกว่า 10 แห่งในย่านดังกล่าวเพื่อรวบรวมทรัพยากรสายพันธุ์และการเพาะปลูกพันธุ์ใหม่ และยังสนับสนุนการปลูกเชอร์รี่ 8 สายพันธุ์ใหม่ที่มีรสชาติหอมหวาน “จัดจ้าน” มากกว่าเดิม พร้อมสร้างช่องทางใหม่ที่ช่วยให้สามารถเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรได้อีกด้วย

อีกกรณีศึกษาหนึ่งเกิดขึ้นในยูนนาน มณฑลพื้นที่ภูเขาที่มีจุดเด่นในเรื่องวิวทิวทัศน์ที่งดงามและสภาพอากาศที่เย็นสบายตลอดปี อุดมไปด้วยแร่ธาตุทางธรรมชาติ อาทิ อลูมิเนียม ตะกั่ว สังกะสี และดีบุก และโด่งดังด้านการเพาะปลูกสินค้าเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาและเห็ดหลากหลายสายพันธุ์

แต่ปัจจุบันกำลังเป็นแหล่งเพาะปลูกบลูเบอร์รี่ชั้นนำของจีน กรณีศึกษานี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2015 หรือราว 10 ปีก่อน เมื่อชายหนุ่มในวัย 40 ปีสนใจและเริ่มปลูกบลูเบอร์รี่ใน “พื้นที่ทดลอง” ขนาดราว 60 ไร่ในเมืองเฉิงเจียง (Chengjiang) มณฑลยูนนาน 

ราว 3 ปีต่อมา แปลงทดลองดังกล่าวประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยสามารถทำผลผลิตได้ถึงเกือบ 2 ตันต่อไร่ เขาตัดสินใจเดินทางกลับบ้านเกิดที่เขตปกครองตนเองจิงตงอี้ (Jingdong Yi) เมืองผู่เอ๋อร์ (Pu'er) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของยูนนานเพื่อ “ทำงานใหญ่” 

โดยเขาตัดสินใจก่อตั้งบริษัทพัฒนาอุตสาหกรรมบลูเบอร์รี่ในปี 2020 และเป็นหัวหอกในการเช่าพื้นที่เพื่อสร้างโรงเรือนปลูกบลูเบอร์รี่ที่ได้มาตรฐานครอบคลุมพื้นที่กว่า 4,000 ไร่

และเพียง 2 ปีต่อมา บริษัทสามารถทำผลผลิตบลูเบอร์รี่ได้กว่า 10,000 ตัน สร้างมูลค่าผลผลิตรวมถึง 600 ล้านหยวน ในทางกลับกัน บริษัทก็จ่ายค่าเช่าที่ดินแก่ชาวบ้านใน 2 พื้นที่ดังกล่าวรวมราว 30 ล้านหยวน ซึ่งกลายเป็นแหล่งรายได้สำคัญสำหรับครัวเรือนเกษตรกรในพื้นที่ 

ประการสำคัญ บริษัทยังมีความต้องการขยายพื้นที่การเพาะปลูกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนั่นหมายถึงแนวโน้มรายได้จากค่าเช่าที่ดินแก่คนในพื้นที่ในอนาคต

นอกจากนี้ บริษัทยังขยายการสนับสนุนด้านเทคนิคและช่องทางการขายไปยังครัวเรือนเกษตรกรในพื้นที่ ซึ่งช่วยให้เกษตรกรจำนวนมากมีรายได้เพิ่มขึ้นผ่านการปลูกบลูเบอร์รี่ และมีกรณีศึกษาคล้ายคลึงกันในส่วนนี้อีกมากในมณฑลยูนนานในปัจจุบัน

อีกหนึ่งกรณีศึกษาที่สะท้อนถึงความเอาจริงเอาจังกับนโยบายการสร้างความกระชุ่มกระชวยในพื้นที่ชนบทที่ผมอ่านเจอแล้วถึงกับอึ้งไปด้วยก็ได้แก่ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการเกษตรของรัฐบาลจีนเพื่อสร้างความแข็งแกร่งและความทันสมัยของภาคการเกษตรและพื้นที่ชนบท 

สำหรับผมแล้ว การพัฒนา “ระบบชลประทาน” อาจถือเป็นสิ่งที่จับต้องได้มากที่สุดก็ว่าได้ เพราะจนถึงปัจจุบัน จีนได้ก่อสร้างโครงข่าย “เส้นทางน้ำ” ภายในประเทศที่มีความยาวรวมถึง 10 ล้านกิโลเมตร เรียกว่าถ้าเอาคลองชลประทานเหล่านั้นมาพันรอบโลกก็ได้เกือบ 250 ครั้งเลยทีเดียว!!! 

แน่นอนว่า ระบบชลประทานดังกล่าวช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มผลิตภาพการเพาะปลูกแก่เกษตรกรไปได้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพาะปลูกนอกฤดูกาล ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้แก่เกษตรกรที่กระจายตัวตลอดทั้งปี

ขณะเดียวกัน การลงทุนในระบบสื่อสาร 5G และอินเตอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง (IoTs) ก็ทำให้เกษตรกรที่เพาะปลูกพริกในมณฑลเหอหนาน สามารถติดตั้งระบบการตรวจสอบดินแบบเป็นปัจจุบันหรือเรียลไทม์ (Real Time) ได้ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ยและการชลประทานได้ดียิ่งขึ้น กล่าวคือ ระบบดังกล่าวช่วยลดการใช้น้ำลงได้ 50% ลดการใช้ปุ๋ยได้ 30% และลดต้นทุนแรงงานได้ถึง 70% 

ตัวอย่างการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวนี้นำไปสู่ผลิตภาพทางการเกษตรที่ดีขึ้น ขณะที่ต้นทุนค่าใช้จ่ายการทำเกษตรที่ลดลง ซึ่งนั่นหมายถึง รายได้และชีวิตความเป็นอยู่ของครัวเรือนเกษตรกรในระดับที่สูงขึ้น

กำลังสนุกเลย แต่ขอคุยกันต่อตอนหน้าครับ ...

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง