NER ทุนนอกจ่อซื้อหุ้น PP เล็งญี่ปุ่นป้อนออเดอร์ Q4
ทันหุ้น –สู้โควิด –NER กองทุน-ลูกค้าต่างชาติ สนใจซื้อหุ้น PP จับตายอดขายครึ่งปีหลัง 2563 ทำนิวไฮ ลุ้นคว้าออเดอร์ใหม่ญี่ปุ่นไตรมาส 4/2563 มั่นใจปีหน้าใช้กำลังการผลิตเต็ม 4.65 แสนตันตามเป้า ย้ำรายได้ปีนี้โต 30% แตะ 1.7 หมื่นล้านบาท
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER เปิดเผยว่า บริษัทยังคงได้รับความสนใจและอยู่ระหว่างการเจรจาทั้งกองทุนและลูกค้าต่างประเทศหลายราย ต้องการเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP) โดยจำนวนที่ขายไม่เกิน 154 ล้านหุ้น ทั้งนี้บริษัทให้ความสนใจผู้ที่สามารถช่วยผลักดันและต่อยอดธุรกิจได้เพิ่มมากขึ้นในอนาคต เบื้องต้นมองว่าอาจต้องรอให้สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 คลี่คลายไปได้ก่อนจึงจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนกว่านี้
สำหรับทิศทางผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังปี 2563 คาดว่า มีการเติบโตที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563 ที่บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 5,656.61 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 284.79 ล้านบาท จากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซันของธุรกิจทำให้บริษัทได้รับออเดอร์จากลูกค้ามากขึ้น และจะมีการส่งมอบมากที่สุดในช่วงไตรมาส 4/2563 นี้
ประกอบกับด้วยปัจจัยด้านดีมานด์ยางที่เริ่มกลับมาหลังประเทศจีนซึ่งเป็นคู่ค้ารายหลักสามารถควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ได้ดีขึ้นตามลำดับ อย่างไรก็ดี บริษัทคาดว่าในช่วงไตรมาส 4/2563 จะได้ข้อสรุปการรับออเดอร์ใหม่จากประเทศญี่ปุ่น
รวมถึงความต้องการใช้ถุงมือยางที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ดึงซัพลายยางพาราในตลาดปรับตัวลดลง ช่วยหนุนราคายางสูงในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยบริษัทประเมินราคายางในช่วงครึ่งหลังปี 2563 จะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยราว 60 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2563 ราคายางเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 40-45 บาทต่อกิโลกรัม ตลอดจนปัจจัยด้านการขยายกำลังการผลิตจากโรงงานใหม่ที่เพิ่มขึ้นอีก 170,000 ตันต่อปี ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้ของกำลังการผลิตใหม่ตั้งแต่ไตรมาส 3/2563 ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 460,000 ตันต่อปี จากก่อนหน้านี้อยู่ที่ระดับ 290,000 ตันต่อปี
อย่างไรก็ตาม จากปัจจัยข้างต้นที่กล่าวมาส่งผลให้บริษัทยังคงมั่นใจว่ายอดขายรวมในปี 2563 จะทำได้ตามเป้าที่วางไว้ แตะ 365,000 ตันต่อปี และรายได้รวมเติบโตไม่น้อยกว่า 30% หรือมากกว่า 17,000 ล้านบาท จากปี 2562 ที่บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 13,107.15 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 538.88 ล้านบาท
*ปรับแผนเพิ่มกำลังการผลิต
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจ บริษัทได้ปรับแผนปี 2564 ใหม่ โดยเพิ่มกำลังการผลิตอีก 50,000 ตันต่อปี ส่งผลให้กำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นเป็น 510,000 ตันต่อปี เนื่องจากการสั่งซื้อเครื่องจักรเพิ่มอีก 1 เตา โดยบริษัทจะเริ่มปรับเครื่องจักรดังกล่าวในช่วงสงกรานต์ปี 2564
ด้านการจำหน่ายแผ่นปูนอนในคอกปศุสัตว์นั้น ในปัจจุบันมีออเดอร์ในมือแล้ว 2 ล้านบาท แต่ยังไม่สามารถทำการติดตั้งเครื่องจักรที่สั่งจากประเทศไต้หวันได้ ดังนั้นในตอนนี้จึงยังต้องพึ่งการสั่ง OEM จากโรงงานที่จังหวัดปทุมธานีไปก่อน ส่งผลให้การผลิตสินค้ามีความล่าช้า ส่วนโมเดลการส่งออกสินค้าไปยังประเทศออสเตเลียจะไปในรูปแบบการขายผ่านตัวแทนจำหน่ายซึ่งปัจจุบันได้มีการเจรจาทำข้อตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะสามารถส่งสินค้าไปยังออสเตเลียได้ในปี 2565 เป็นต้นไป
บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง NER ว่า ยังคงประมาณการกำไรปกติในปี 2563อยู่ที่ 705 ล้านบาท (+31% YoY) ครึ่งปีหลังแนวโน้มความต้องการจากลูกค้าในจีนเริ่มปรับตัวดีขึ้น อีกทั้งกำลังการผลิตของโรงงานใหม่จะเพิ่มขึ้นจากเดิม 60% ( 2.92 แสนตัน/ปี เป็น 4.65 แสนต้น/ปี เพิ่มขึ้น 1.72 แสนต้นต่อปี) ทั้งนี้ไตรมาส 3/63จะใช้กำลังการผลิต 70% ของทั้งหมด และการเพิ่มกำลังการผลิตรอบนี้จำนวนคนงานไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก ต้นทุนจึงไม่เพิ่มตามกำไร ทำให้ margin จะเพิ่มขึ้นเป็น 10.5% จาก 8.6% ในปีก่อน ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ PER 7x ยังคงแนะนำ ซื้อ NER ราคาเป้าหมาย 4.10