รีเซต

3 ช่องทางออมเงินให้ผลตอบแทนคุ้มค่ากว่าหยอดกระปุก

3 ช่องทางออมเงินให้ผลตอบแทนคุ้มค่ากว่าหยอดกระปุก
TNN ช่อง16
29 ตุลาคม 2563 ( 14:03 )
651

        เชื่อว่าหลายคนจะมีวิธีออมเงินในแบบของตนเองแตกต่างกันไป เพราะในยุคนี้นอกจากการบริหารเงินในกระเป๋า ใช้จ่ายอย่างคุ้มค่าที่สุดแล้ว การเก็บออมเงินไว้เผื่ออนาคตก็เป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆในช่วงที่สถานการณ์ความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจสูง

        และเนื่องในโอกาส"วันออมแห่งชาติ" วันนี้ TNN ONLINE มีวิธีออมเงินที่เหมาะมากๆ สำหรับยุคนี้ นอกเหนือจากการฝากปกติ ที่ปัจุบันอัตราดอกเบี้ยนั้นแสนต่ำ  แต่วิธีหรือรูปแบบการออมที่นำมาฝากนี้ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากว่า

1. ฝากประจำ

      เป็นรูปแบบการออมที่เบสิคที่สุด เพราะง่ายและเป็นวิธีที่เราคุ้นเคยกันอยู่แล้ว ซึ่งปัจจุบันแบงก์ต่างๆก็มีโปรโมชั่นที่ให้ดอกเบี้ยในอัตราที่จูงใจออกมาอยู่หลายผลิตภัณฑ์  โดยข้อดีของการฝากประจำก็คือ ให้ดอกเบี้ยที่สูงกว่าฝากแบบปกติ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำจะมีตั้งแต่ 0.05%- 2 % หรือมากกว่านั้นแล้วแต่ธนาคาร  อีกทั้งเป็นการฝึกวินัยการออมให้กับเราเพราะเงื่อนไขการฝากจะมีขั้นต่ำของแต่ละเดือน กำหนดฝากทุก 3,6,12 หรือ 24 เดือน แล้วแต่โปรแกรมฝากและเงื่อนไขของแบงก์  และจะต้องฝากในจำนวนที่เท่ากันทุกๆรอบ   ขณะเดียวกันยังมีความมั่นคงเพราะฝากกับสถาบันการเงินที่เชื่อถือได้ อยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย ตลอดจนถือเป็นการออมร่วมกับการลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด 


CR:ธนาคาร ธอส.

        ส่วนข้อเสีย ส่วนใหญ่แบงก์จะกำหนดไว้คล้ายๆกัน เช่น ไม่สามารถถอนได้หากยังไม่ครบระยะเวลาที่กำหนด  หรือเมื่อใดก็ตามที่ถอนก่อนกำหนด ก็จะไม่ได้ดอกเบี้ยสูง และการถอนต้องถอนทั้งหมดโดยปิดบัญชีทันที  เป็นต้น 

2.  ซื้อสลากออมทรัพย์  

       สลากออมทรัพย์ ถือเป็นหนึ่งในรูปแบบการออมเงินที่ผู้ฝากเงินจะได้รับทั้งดอกเบี้ยจากทางธนาคาร (เมื่อครบกำหนดฝาก) แต่จะมีข้อดีกว่าการซื้อพันธบัตรตราสารหนี้ ตรงที่สามารถลุ้นเงินรางวัลพิเศษจากหมายเลขบนสลากไปพร้อมๆ กัน โดยที่เรามีโอกาสจะได้รับกำไรก้อนโตโดยไม่ต้องเสียเงินต้นเลยแม้แต่บาทเดียว จะตอบโจทย์คนที่อยากออมเงินในระยะกลางถึงระยะยาว ไม่ชอบความเสี่ยง ซึ่งน่าจะตอบโจทย์ได้ดีเลยทีเดียว เนื่องจากการสะสมสลากออมทรัพย์มีความเสี่ยงต่ำ (แต่ก็มากกว่าแบบฝากประจำขึ้นมานิดหน่อย)  เงินต้นไม่สูญ แม้จะไม่พลาดไม่ถูกรางวัลใดๆก็ตาม แต่ก็ยังมีผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยตามเงื่อนไขเมื่อครบกำหนด 

        สำหรับระยะเวลาในการถือหน่วยลงทุนขั้นต่ำ เช่น 3 เดือน ซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละธนาคาร หากถอนหน่วยลงทุนคืนก่อนกำหนด อาจจะไม่รับดอกเบี้ยและรางวัลตามเงื่อนไข หรืออาจถูกปรับเงินต้นคืนด้วย ดังนั้นความเสี่ยงของสลากออมทรัพย์นั้น ขึ้นอยู่กับสภาพคล่องทางการเงินของตัวผู้ฝากนั่นเอง ผู้ฝากจึงควรมั่นใจว่าจะสามารถถือครองหน่วยลงทุนได้ตามระยะเวลาที่กำหนด

        โดยปัจจุบันผลิตภัณฑ์สลากออมทรัพย์มีออกมาให้ประชาชนได้เลือกออมหลากหลายขึ้น เงื่อนไขการซื้อสะสมขั้นต่ำเข้าถึงได้ง่ายขึ้น อาจจะไม่ถึงขึ้นกับต้องนำเงินก้อนมาลงทุน

          ยกตัวอย่างเช่น  สลากออมสินพิเศษ 2 ปี ราคาเริ่มต้นหน่วยละ 100 บาท โดยมีรางวัลให้ลุ้นรางวัลที่ 1 เงินรางวัลถึง 5 ล้านบาท และมีรางวัลเลขท้ายให้ลุ้นด้วย  แต่กรณีคนที่ซื้อสลากน้อยกว่า 100,000 บาท เมื่อครบกำหนด 2 ปี จะได้รับผลตอบแทนขั้นต่ำ 0.05% ต่อปี แต่ถ้าต้องการถูกรางวัลทุกงวด จะต้องฝากอย่างน้อย 100,000 บาท (1,000 หน่วย) ซึ่งจะถูกรางวัลเลขท้าย 3 ตัว งวดละ 20 บาท ครบ 2 ปี จะได้ผลตอบแทนขั้นต่ำ 0.29% ต่อปี หรือหากมีเงินก้อนใหญ่ ต้องการฝากสัก 1 ล้านบาท ก็จะได้รับผลตอบแทนขั้นต่ำ 0.35% ต่อปี โดยยังไม่รวมรางวัลอื่น ๆ เช่นกัน อย่างนี้เป็นต้น 

3. ซื้อกองทุนรวม 

        วิธีนี้เป็นการออมร่วมกับการลงทุน ที่ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจอยู่พอสมควร เพราะในขณะที่เราออมผ่านการซื้อกองทุนในทุกเดือน เรามีโอกาสได้รับผลตอบแทนตั้งแต่ 2-12% ต่อปี (ผลตอบแทนแต่ละปีจะแตกต่างกัน ตามประเภทสินทรัพย์ที่ลงทุน สภาวะตลาด และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง) โดยขึ้นอยู่กับกองทุนที่เราเลือก ซึ่งแต่ละกองจะได้ผลตอบแทนแตกต่างกันไปตามความเสี่ยง ประเภทกองทุน และสถานการณ์ตลาด  ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการริเริ่มลงทุน และออมเงินไปพร้อมๆกัน เนื่องจากในแต่ละกองทุนจะมีผู้เชี่ยวชาญคอยบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนให้ แถมการเริ่มต้นยังใช้เงินเริ่มต้นไม่มากนัก (ขั้นต่ำอาจจะเริ่มต้นที่ 500 บาท ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแบงก์)  


        ทำความเข้าใจคร่าวๆก่อนว่า  กองทุนรวม คือการรวบรวมเงินทุนจากนักลงทุนทั่วไป เพื่อรวมเป็นเงินก้อนขนาดใหญ่ แล้วนำเงินที่รวบรวมนั้นไปกระจายลงทุนตามนโยบายการลงทุนที่ได้ตกลงเอาไว้ เช่น ตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร เป็นต้น  ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทจัดการกองทุนซึ่งมีหน้าที่ลงทุนแทนเราตามนโยบายของกองทุนที่เราเลือกตามความเสี่ยงที่ตัวเองสามารถรับได้  ในส่วนนี้เจ้าหน้าที่จะทำการสำรวจความสามารถการลงทุนของเรา ก่อนให้ตัดสินใจเลือกกองทุนทุกครั้ง เพื่อแนะนำกองทุนที่เหมาะกับเราที่สุด ขณะเดียวกันข้อดีอีกอย่างของการซื้อกองทุนก็คือ หน้าที่ของการวิเคราะห์การลงทุนจะเป็นของผู้จัดการกองทุน ที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และมีประสบการณ์ในการลงทุน เราจึงสามารถไว้วางใจได้ ซึ่งการออมในกองทุนนี้เหมาะสมกับนักลงทุนมือใหม่ที่อยากลงทุน อยากเพิ่มเงินออมเป็นกำไรแต่ยังไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มอย่างไร

      และวิธีที่จะช่วยให้สามารถออมเงินได้ เจ้าหน้าที่จะแนะนำให้หักค่าซื้อกองทุนจากบัญชีเงินเดือนแบบอัตโนมัติ  เพื่อความสม่ำเสมอในการซื้อกองทุนและการได้รับผลตอบแทนในอนาคต   และอีกข้อดีของการซื้อกองทุน ก็คือ สามารถนำไปลดหย่อนภาษีในช่วงปลายปีได้ด้วย 

     แต่ข้อเสียของการออมโดยการซื้อกองทุน นอกจากจะมีความเสี่ยงสูงกว่าการออมรูปแบบก่อนหน้านี้แล้ว ยังมีเงื่อนไขที่ไม่อนุญาตให้ซื้อขายภายในระยะเวลาที่กำหนด ยกตัวอย่างเช่น กรณีกองทุนรวม LTF ที่ถูกยกเลิกไปก่อนหน้านี้ถูกกำหนดให้ห้ามซื้อขายภายในระยะเวลา 7 ปี เป็นต้น 

 CR:Pixabay    

        การออมทั้ง 3 รูปแบบนี้หวังว่าจะเป็นทางเลือกให้กับใครที่อยากจะออมเงิน ไปพร้อมๆกับได้ผลตอบแทนด้วย ซึ่งเชื่อว่าจะคุ้มค่ามากกว่าการฝากเงินแบบปกติหรือตั้งหน้าตั้งตาหยอดกระปุกเป็นไหนๆ แน่นอน 



เกาะติดข่าวที่นี่

website: www.TNNTHAILAND.com
facebook : TNNONLINE
facebook live : TNN Live
twitter : TNNONLINE
Line : @TNNONLINE
Youtube Official : TNNONLINE
Instagram : TNN_ONLINE
TIKTOK : @TNNONLINE

ข่าวที่เกี่ยวข้อง