รีเซต

'ศุภชัย เจียรวนนท์' เปิดวิสัยทัศน์ “Global Compact กับพันธกิจเพื่อโลกยั่งยืน”

'ศุภชัย เจียรวนนท์' เปิดวิสัยทัศน์ “Global Compact กับพันธกิจเพื่อโลกยั่งยืน”
TNN ช่อง16
30 กรกฎาคม 2568 ( 11:52 )
26

“การที่เราเห็นตัวเองอยู่ในจุดที่เป็นวิกฤต มันมักจะเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่เสมอ”   -  ศุภชัย เจียรวนนท์

ในโลกที่รายล้อมด้วยวิกฤตทั้งด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ การเมือง และสังคม เสียงของผู้นำที่สามารถเชื่อมโยงประเด็นเหล่านี้เข้ากับวิสัยทัศน์แห่งความยั่งยืนจึงเป็นสิ่งที่ทรงพลังอย่างยิ่ง คำกล่าวของ คุณศุภชัย เจียรวนนท์ ในฐานะนายกสมาคมเครือข่าย Global Compact แห่งประเทศไทย (GCNT) บนเวที GCNT Expo 2025 ไม่เพียงสะท้อนความเข้าใจในบริบทโลก แต่ยังเสนอแนวทางที่จับต้องได้จริงในการเปลี่ยน “วิกฤต” ให้เป็น “โอกาส”


จุดวิกฤต: Breaking Point ของโลกและสัญญาณแห่งการเปลี่ยนผ่าน

คำพูดของคุณศุภชัยเริ่มต้นด้วยการชี้ให้เห็นว่าโลกขณะนี้กำลังเข้าสู่ “จุดวิกฤต” (Breaking Point) ซึ่งแม้จะน่ากังวล แต่ก็ถือเป็นโอกาสอันล้ำค่าสำหรับการเรียนรู้ ปรับตัว และลงมือทำ

วิสัยทัศน์นี้ตั้งอยู่บนฐานของ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ทั้ง 17 ข้อ ซึ่งไม่ใช่เพียงเครื่องมือทางนโยบาย หากแต่คือ “แผนที่” ที่รวบรวมปัญหาสำคัญของมนุษยชาติเอาไว้แล้วอย่างครอบคลุม จุดเด่นคือการมีตัวชี้วัดย่อยกว่า 140 ตัว ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการประเมินและปรับกลยุทธ์ของภาคเอกชนได้จริง

คุณศุภชัยเสนอว่า หากภาคธุรกิจสามารถเชื่อมโยงตัวชี้วัดเหล่านี้เข้ากับกระบวนการทำงาน ตลอดจนการลงทุนและการรายงานผล (ESG Reporting) ก็จะทำให้เกิดการเรียนรู้เชิงระบบ สร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีเป้าหมายชัดเจน และที่สำคัญคือ “คุ้มทุน” ในระยะยาว


โลกยุค 3D: Digitalization, Dealization, Decarbonization


คำกล่าวของคุณศุภชัยเน้นย้ำว่า โลกกำลังเข้าสู่ยุค “3D” ซึ่งหมายถึงปัจจัยสามประการที่กำลังเปลี่ยนแปลงโครงสร้างโลกทั้งในเชิงเศรษฐกิจ การเมือง และสิ่งแวดล้อม ได้แก่:

  1. Digitalization – การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล โดยเฉพาะการเข้ามาของ AI ซึ่งคุณศุภชัยเรียกว่า “disruptor ที่ทรงพลังมาก” เพราะสามารถทั้งสร้างผลลัพธ์ในเชิงบวกหรือลบ ขึ้นอยู่กับเจตนาและระบบกำกับดูแลที่ใช้ร่วมกัน

  2. Dealization (De-globalization) – การแตกตัวของโลกจากระบบโลกาภิวัตน์ไปสู่การแบ่งขั้ว สงคราม การตั้งกำแพงทางการค้า หรือความขัดแย้งชายแดนที่ไม่จบสิ้น ซึ่งคุณศุภชัยเน้นว่า “ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความปลอดภัยของประชาชน” พร้อมเสนอว่า ความเข้าอกเข้าใจ และความร่วมมือข้ามพรมแดนยังคงเป็นคำตอบที่ดีที่สุด

  3. Decarbonization – การลดคาร์บอนและจัดการวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งภาวะโลกร้อน มลพิษ และการสูญเสียระบบนิเวศ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งมักได้รับผลกระทบมากที่สุด


บทบาทของภาคเอกชน: จุดเปลี่ยนของระบบทุนนิยม

ภาคเอกชนไม่ได้เป็นเพียง “ผู้ก่อ” ปัญหาความเหลื่อมล้ำและสิ่งแวดล้อมในอดีต หากแต่คือ “พลังขับเคลื่อน” ที่สำคัญที่สุดในวันนี้

คุณศุภชัยกล่าวว่า “มุมมองของเราเพียงฝ่ายเดียว อาจยังไม่สมบูรณ์” จึงจำเป็นต้องมีความร่วมมือในรูปแบบ Public-Private Partnership (PPP) รวมถึงการดึงภาคประชาสังคมเข้ามาร่วมด้วย

หนึ่งในกลไกสำคัญที่ถูกเสนอคือ บทบาทของตลาดหลักทรัพย์ ในการกำหนดกติกาและสร้างแรงจูงใจให้ธุรกิจรายงาน ESG อย่างเป็นระบบ และสื่อสารด้วย “ภาษาความยั่งยืน” ร่วมกัน เพราะความตระหนักรู้ คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง


ระบบการศึกษาที่ “ปลดล็อก” จินตนาการ

คุณศุภชัยยังตั้งคำถามสำคัญต่อระบบการศึกษาในปัจจุบันว่าเพียงพอหรือยังในการเตรียมเยาวชนสู่โลกแห่งความซับซ้อนนี้ เขาเสนอว่า:

  • การเรียนรู้ควรเชื่อมโยงกับ การลงมือปฏิบัติจริง

  • การตั้งศูนย์เรียนรู้ (Learning Center) ที่ผูกกับ SDGs จะช่วยให้เยาวชนเห็นปัญหา เข้าใจโครงสร้าง และเสนอวิธีแก้

  • ไม่เพียงปลูกฝัง “Growth Mindset” แต่รวมถึง คุณธรรม จริยธรรม และเศรษฐกิจ



เขาเสนอว่าภาคเอกชนสามารถเป็น “โรงเรียนแห่งอนาคต” ที่เชื่อมความรู้ ทักษะ และการลงทุนเข้าด้วยกัน


สังคมไร้เงินสด: เครื่องมือใหม่ในการแก้คอร์รัปชัน

หนึ่งในช่วงที่ทรงพลังที่สุดของคำกล่าวคือการชี้ว่าระบบเศรษฐกิจใต้ดินของไทยอาจมีขนาด “ถึง 50% ของ GDP” และเกี่ยวข้องกับการหลีกเลี่ยงภาษีและกฎระเบียบ

ทางออกคือการใช้ Digitalization และ AI ในการสร้างระบบ “Cashless Society” และ “Digital ID” ที่สามารถติดตามธุรกรรมได้ทุกขั้นตอน

“ทุกธุรกรรมสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ เปิดเผยได้”  — ศุภชัย เจียรวนนท์

สิ่งนี้ไม่เพียงสร้างความโปร่งใส แต่ยังเชื่อมโยงกับกฎหมาย ความยุติธรรม และความปลอดภัยของประชาชน นับเป็นวิสัยทัศน์เชิงระบบที่แหลมคมและกล้าหาญ

จาก “ไม่คุ้มทุน” สู่ “คุ้มในทุกมิติ”

ข้อโต้แย้งเรื่องความยั่งยืนที่ว่า “ทำแล้วไม่คุ้มทุน” ถูกหักล้างอย่างมีน้ำหนักผ่านมุมมองของคุณศุภชัย เขาเสนอว่า:

  • พลังงานหมุนเวียนในวันนี้ไม่ใช่ “ภาระ” แต่คือ “โอกาส”

  • สินค้าและบริการที่ตอบ SDGs มีความ “viable” ทั้งหมด

  • หากภาคธุรกิจร่วมมือกันเป็น อุตสาหกรรม จะสามารถเปลี่ยนความไม่คุ้มทุนในระดับรายบริษัท ให้กลายเป็นการลงทุนที่ “คุ้ม” ในระดับโครงสร้าง

บทส่งท้าย: แผนที่ของความหวัง

คำกล่าวของคุณศุภชัย เจียรวนนท์ ไม่ใช่เพียงสุนทรพจน์บนเวทีสากล หากแต่เป็น “โรดแมป” ที่รวมทั้งวิสัยทัศน์ หลักคิด และกลไกในการขับเคลื่อนประเทศและโลกไปข้างหน้า

มันคือการเรียกร้องให้ภาคธุรกิจลุกขึ้นมาทำหน้าที่ที่เกินกว่ากำไรระยะสั้น
คือการชวนให้มองโลกอย่างเข้าใจ ไม่ใช่หวาดกลัว
คือการยืนยันว่า 
“เราจะเปลี่ยนวิกฤตให้กลายเป็นโอกาส” ได้ หากลงมือทำร่วมกัน

โลกหลังปี 2025 อาจเป็นโลกที่ลำบากยิ่งขึ้น แต่หากมีผู้นำที่เข้าใจความซับซ้อนและกล้าสร้าง “คำตอบใหม่” เช่นนี้  มนุษยชาติยังมีความหวัง

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง