ส่งสัญญาณชัด จีนไม่รอเจรจา มุ่งหาพันธมิตรใหม่แทนสหรัฐฯ

เมื่อเศรษฐกิจโลกไม่ได้หมุนรอบสหรัฐฯ อีกต่อไป กลยุทธ์ของจีนในการรับมือกับสงครามการค้าตั้งแต่ยุคทรัมป์ 1.0 กำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญในยุคทรัมป์ 2.0 นั่นคือการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ลดการพึ่งพาสหรัฐอเมริกา และแสวงหาพันธมิตรใหม่บนเวทีการค้าโลกที่กำลังเปลี่ยนขั้วอย่างรวดเร็ว ตัวเลขชัดเจนว่าในปี 2024 การส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ ลดลงเหลือเพียง 14.7% จากที่เคยสูงถึง 19.2% ในปี 2018 และปีนี้ก็มีแนวโน้มจะลดลงอีก สะท้อนให้เห็นว่าจีนไม่ได้รอให้ใครมากำหนดเกมอีกต่อไป แต่กำลังเป็นผู้ทดสอบว่าโลกสามารถเดินต่อไปได้โดยไม่มีสหรัฐฯ หรือไม่
โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ออกมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอย่างเข้มข้นอีกครั้ง โดยหวังว่าแรงกดดันด้านภาษีสูงถึง 145% จะทำให้ผู้นำจีนรีบกลับมาเจรจาและยอมรับข้อตกลงที่เอื้อประโยชน์ต่อสหรัฐฯ แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามที่คาด จากรายงานของ Yardeni Research ระบุชัดว่า “ไม่มีสายจากปักกิ่งโทรไปยังวอชิงตัน” อย่างที่ทีมทรัมป์หวังไว้
ในทางกลับกัน จีนกลับเดินหน้าเร่งสร้างพันธมิตรทางการค้ากับประเทศในเอเชีย ทั้งญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และกลุ่มประเทศอาเซียน กลับกลายเป็นว่าจีนมีความพร้อมรับมือกับกลยุทธ์ “ไม่พึ่งพาสหรัฐฯ” มาตั้งแต่สงครามการค้ารอบแรกในปี 2018 และขยายผลไปอย่างต่อเนื่องในยุคนี้
หลักฐานสำคัญ:
ตัวเลขการส่งออกของจีนในปี 2018 ที่เคยพึ่งพาสหรัฐฯ ถึง 19.2% ลดลงเหลือเพียง 14.7% ในปี 2024
กลุ่มประเทศอาเซียนแซงหน้าสหรัฐฯ กลายเป็น “คู่ค้าอันดับหนึ่ง” ของจีน
จีนกลายเป็น “คู่ค้าหลัก” ของกว่า 60 ประเทศ มากกว่าสหรัฐฯ ถึงเกือบสองเท่า ตามข้อมูลจากสถาบัน Lowy
การปรับตัวของจีน:
จีนไม่ได้หวังพึ่งผู้บริโภคชาวอเมริกันอีกต่อไป เป้าหมายของเขาคือการเร่งพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศให้แข็งแกร่ง ลดความเปราะบางจากการค้ากับมหาอำนาจตะวันตก วิลเลียม เพเซค บรรณาธิการผู้มีส่วนร่วมจาก Yardeni Research วิเคราะห์ว่า “ทรัมป์อาจประเมินอาวุธลับของจีนต่ำเกินไป” เพราะจีนไม่เพียงแต่ลดการพึ่งพาสหรัฐฯ แต่ยังสามารถรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ย 5% ต่อปีได้ แม้อยู่ท่ามกลางสงครามการค้า
ที่สำคัญคือ จีนยังมี “เครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจ” ที่ยังไม่ได้งัดออกมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ เช่น การลดดอกเบี้ยนโยบาย การผ่อนคลายเชิงปริมาณ การอัดฉีดสภาพคล่องตรงสู่ภาคครัวเรือน ไปจนถึง “บาซูก้าเศรษฐกิจ” หรือมาตรการอัดฉีดขนาดใหญ่เพื่อพยุงภาคอสังหาริมทรัพย์และกำลังซื้อในประเทศ
ภาพรวมโลก:
ข้อมูลจากสถาบัน Lowy ชี้ว่า จีนกลายเป็น “คู่ค้าหลัก” ของมากกว่า 60 ประเทศทั่วโลก มากกว่าสหรัฐฯ เกือบสองเท่า และกลุ่มประเทศอาเซียนก็กลายเป็นพันธมิตรทางการค้ารายใหญ่ที่สุดของจีนอย่างเป็นทางการแล้ว ขณะที่ทรัมป์พยายามตัดห่วงโซ่อุปทานจากจีนให้ได้ แต่ในความเป็นจริง สินค้าจำนวนมากที่ยังส่งเข้ามายังสหรัฐฯ โดยผ่านประเทศที่สาม เช่น เวียดนาม ก็ยังคงผลิตจากจีน
เหนือสิ่งอื่นใด จุดแข็งของจีนคือโครงสร้างทางการเมืองที่ต่างจากโลกตะวันตก เพราะรัฐบาลจีนไม่ได้อยู่ภายใต้แรงกดดันจากการเลือกตั้ง หรือโพลสำรวจความคิดเห็น ทำให้สามารถอดทนต่อแรงกดดันจากภายนอกได้นานกว่ารัฐบาลประชาธิปไตยในประเทศตะวันตก ซึ่งต้องเผชิญกับเสียงวิจารณ์รายวัน