"ทรัมป์" ยอดนักขาย ปิดดีล "เจ้าชายซาอุฯ" ลงทุน 1 ล้านล้านดอลลาร์ ปั้นดาต้าฮับ-ขายเครื่องบินรบ

"สหรัฐฯ" ปิดดีลการค้า "ซาอุดีอาระเบีย" ลงทุน 1 ล้านล้านดอลลาร์ ปั้นดาต้าฮับ-ขายเครื่องบินรบ
นักขาย นักเจรจาแห่งปี ต้องยกให้ "ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์" ผู้นำสหรัฐฯ ที่ตระเวนจัดบิ้กดีลไปทั่วโลก ล่าสุดอีกหนึ่งประเทศที่ต้องจารึก ก็คือ ซาอุดีอาระเบีย ที่มีการให้คำมั่นลงทุนในอเมริกาครั้งใหญ่ สูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนทรัมป์ เตรียมขายเครื่องบินขับไล่ให้ซาอุฯครั้งแรก
การค้าโลกในยุคที่สหรัฐฯ อยู่ภายใต้การนำของประธานาธิบดีที่ชื่อโดนัลด์ ทรัมป์ มีอะไรที่น่าสนใจและสร้างความแปลกใจได้เสมอ ล่าสุดกับการเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาครั้งแรกในรอบ 7 ปี ของมกุฎราชกุมารซาอุดีอาระเบีย ก็มีการเปิดทางดีลการค้าการลงทุนทางเศรษฐกิจชุดใหญ่
โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เปิดทำเนียบขาวต้อนรับเจ้าชายโมฮัมมัด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรีแห่งซาอุดีอาระเบีย ในโอกาสเสด็จเยือนสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568โดยทั้งสองได้พบปะพูดคุยกันในห้องทำงานรูปไข่ ท่ามกลางกองทัพสื่อมวลชน
เจ้าชายโมฮัมมัด ใช้โอกาสนี้ประกาศว่า ซาอุดีอาระเบียจะเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ จาก 600,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อถูกนักข่าวถามว่า ซาอุดีอาระเบียสามารถแบกรับภาระนี้ได้หรือไม่ มกุฎราชกุมาร ทรงตอบว่า เราไม่ได้สร้างโอกาสปลอมๆ เพื่อเอาใจอเมริกา หรือเอาใจประธานาธิบดีทรัมป์ได้
ขณะที่ทรัมป์ ระบุว่า สหรัฐฯ จะขายเครื่องบินขับไล่ F-35 ให้กับซาอุดีอาระเบียที่ได้ขอซื้อเครื่องบินจำนวน 48 ลำ ซึ่งถือเป็นการขายเครื่องบินขับไล่ F-35 ครั้งแรกของสหรัฐฯ ให้กับซาอุดีอาระเบีย และถือเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งสำคัญและถูกมองว่าอาจเป็นตัวเปลี่ยนแปลงสมดุลทางทหารในตะวันออกกลาง เนื่องจากจนถึงปัจจุบันอิสราเอลเป็นประเทศเดียวในตะวันออกกลางที่มีเครื่องบิน F-35
ด้านนักวิเคราะห์ ระบุว่า การที่รัฐบาลสหรัฐฯ ให้การต้อนรับมกุฎราชกุมารซาอุดีอาระเบียอย่างอบอุ่นเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสองเริ่มดีขึ้นโดยลำดับ หลังย่ำแย่หนักหลังเกิดเรื่องอื้อฉาวกรณีสังหารคาช็อกกี
ซึ่งเหตุฆาตกรรมดังกล่าวเป็นในประเด็นที่ผู้สื่อข่าวให้ความสนใจ โดย จามาล คาช็อกกี คือ นักข่าวของวอชิงตัน โพสต์ ซึ่งถูกสังหารภายในสถานกงสุลซาอุดีอาระเบียที่นครอิสตันบูลของตุรกี เมื่อปี 2561 และโดยนักข่าวยังกล่าวด้วยว่าครอบครัวผู้เสียชีวิตในเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน 2001 (หรือปี 2544) โกรธที่มกุฎราชกุมารมาเยือน เนื่องจากผู้ก่อเหตุ 15 จาก 19 คนในเหตุการณ์นั้นเป็นชาวซาอุดีอาระเบีย
ประเด็นนี้ ทรัมป์ออกตัวตอบแทนว่า มกุฎราชกุมารทรงทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมและพระองค์ไม่รู้เห็นเรื่องการสังหารดังกล่าว โดยคำพูดของทรัมป์ถือว่าสวนทางกับรายงานข่าวกรองของสหรัฐฯ ปี 2564 ที่ระบุว่าเจ้าชายโมฮัมมัดเป็นผู้อนุมัติแผนการสังหารนักข่าวคนวอชิงตัน โพสต์
ด้านเจ้าชายโมฮัมมัด ตรัสแทรกขึ้นมาว่า พระองค์ทรงรู้สึกเจ็บปวดต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตในโศกนาฏกรรมเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ส่วนกรณีของคาช็อกกี พระองค์รู้สึกเจ็บปวดที่ได้ยินเรื่องราวของใครก็ตามที่ต้องสูญเสียชีวิตโดยเปล่าประโยชน์ และทรงยืนยันว่ามีการใช้ขั้นตอนที่ถูกต้องระหว่างการสืบสวน และมีการปรับปรุงระบบต่างๆ แล้วเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีก
จากนั้นเพียงแค่หนึ่งวันต่อมา ในเวที U.S.-Saudi Business Forum ผู้นำทั้งสองชาติ ยังได้มีการลงนามข้อตกลงการค้าระหว่างธุรกิจของทั้งสองประเทศด้วยยอดขายรวมถึง 270,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึง HUMAIN บริษัท AI ของรัฐบาลซาอุฯ เตรียมซื้อชิป AI จาก Nvidia จำนวน 600,000 ตัว ขณะที่ HUMAIN จับมือ xAI ของอีลอน มัสก์ ร่วมพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์ในซาอุฯ รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าขนาด 500 เมกะวัตต์
MP Materials ประกาศสร้างโรงแยกแร่หายาก (Rare Earths Refinery) ในซาอุฯ ร่วมกับกระทรวงกลาโหมสหรัฐ และบริษัท Maaden ของรัฐบาลซาอุฯ และ Aramco เซ็น MOU มูลค่ากว่า 30,000 ล้านดอลลาร์ ด้านยักษ์ใหญ่น้ำมัน Saudi Aramco เปิดเผยว่าได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ 17 ฉบับกับบริษัทสหรัฐหลายแห่ง รวมมูลค่ามากกว่า 30,000 ล้านดอลลาร์
"ทรัมป์" เดินหน้ากระชับสัมพันธ์ "ซาอุดีอาระเบีย" นำไปสู่ดีลประวัติศาสตร์
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ช่วงกลางปี ทรัมป์ได้ไปเยือนซาอุดิอาระเบีย และเป็นจุดเริ่มต้นของดีลเมกะโปรเจคครั้งนี้
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา เยือนซาอุดิอาระเบียอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 และเป็นการเปิดฉากการเยือนภูมิภาคอ่าวอาหรับ ที่มาพร้อมด้วยการประกาศนโยบายสำคัญ โดยระบุว่าสหรัฐฯ จะยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่อประเทศซีเรีย พร้อมเผยข้อตกลงการลงทุนจากซาอุดีอาระเบียในสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 600,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรวมถึงการซื้ออาวุธมูลค่าราว 142,000 ล้านดอลลาร์ นับเป็นข้อตกลงความร่วมมือด้านกลาโหมที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ
กระทั่งล่าสุดเดือนพฤศจิกายนมีการเดินทางสหรัฐฯ ของผู้นำซาอุฯ ก็มีการขยายตัวเลขการลงทุนพุ่งไปที่ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นั่นเอง
สำหรับการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งสำคัญของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งมาตรการดังกล่าวเริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 1979 และเข้มงวดขึ้นอีกหลังสงครามกลางเมืองในปี 2011 โดยรัฐบาลของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดถูกโค่นล้มโดยกลุ่มกบฏภายใต้การนำของประธานาธิบดีอาห์เหม็ด อัล-ชารา เมื่อเดือนธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา
นอกเหนือจากข้อตกลงทางทหาร สหรัฐฯ และซาอุดีอาระเบียยังลงนามในความร่วมมือด้านพลังงาน เหมืองแร่ และอุตสาหกรรมอื่น ๆ โดยมีข้อตกลงกับบริษัทด้านกลาโหมของสหรัฐฯ มากกว่า 12 ราย ครอบคลุมระบบป้องกันภัยทางอากาศและขีปนาวุธ กองทัพอากาศและอวกาศ ความมั่นคงทางทะเล และระบบสื่อสาร
สำหรับทิศทางเศรษฐกิจของซาอุดีอาระเบียปัจจุบันนี้ต้องเผชิญกับความท้าทายจากราคาน้ำมันที่ลดลงและต้นทุนโครงการที่เพิ่มสูงขึ้น โดยล่าสุดประเทศซาอุฯ อยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์ “Vision 2030” หัวใจ คือ การมุ่งเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจจากการพึ่งพาน้ำมันที่มาความผันผวนสูงไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีและการลงทุน โดยมีโครงการไฮไลต์อย่าง “NEOM” เมืองอัจฉริยะขนาดเท่าประเทศเบลเยียม เป็นหัวใจสำคัญ
สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (United States Trade Representative: USTR) ระบุว่า การค้ารวมระหว่างสหรัฐฯ กับซาอุฯ ในปี 2024 มีมูลค่าประมาณ 3.95 หมื่นล้านดอลลาร์ แบ่งเป็นการค้าสินค้า 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์ และการค้าบริการ 1.35 หมื่นล้านดอลลาร์
หากวิเคราะห์ภาพระยะยาวตั้งแต่ปี 2015–2024 ข้อมูลจาก Argaam ระบุว่ามูลค่าการค้าสินค้ารวมระหว่างสองประเทศในช่วงสิบปีแตะระดับ กว่า 1.34 ล้านล้านเรียลซาอุฯ (SAR) ซึ่งสะท้อนว่าสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในคู่ค้ารายใหญ่และสำคัญที่สุด แม้จะมีการแข่งขันจากจีนและสหภาพยุโรปเข้ามาแบ่งส่วนตลาด
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
