ไขข้อสงสัย รัฐธรรมนูญ 2560 ทำไมต้องแก้ แก้แล้วชีวิตฉันจะดีขึ้นยังไง ฉบับเข้าใจง่าย

ทำไมต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560
กฎหมายสูงสุดที่ผูกพันชีวิตคนไทยตั้งแต่เกิดจนตาย
เชื่อว่า แม่ค้าพ่อค้าอย่างเราๆ รู้แหละว่า รัฐธรรมนูญ คือ กฎหมายที่สำคัญ แต่อาจจะยังไม่ค่อยได้รู้สึกใกล้ชิด
เท่ากฎหมาย จราจร เมาไม่ขับ เมาแล้วขับโดนจับนะ จอดรถขีดขวางทางเท้า หรือ พื้นที่ห้ามจอด วิ่งรถบนฟุตบาท หรือ กฎหมายอาญา ที่เวลาไปทำร้ายคนอื่น ต้องโดนปรับ หรือบางรายโทษหนักอาจต้องนอนคุก หรือ กฎหมายแพ่ง เวลาใครมาโกงเงินเรา ต้องฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้
แต่พอพูดถึง กฎหมายรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับชีวิตเรายังไง หลายคนอาจจะนึกไม่ออก?
ทั้งที่รัฐธรรมนูญไม่ใช่เพียงเอกสารทางกฎหมายที่วางอยู่บนชั้นหนังสือ หากแต่เป็น “กฎหมายสูงสุดของประเทศ”
ที่กำหนดทิศทางชีวิตของคนไทยทุกคนตั้งแต่ลืมตาดูโลกจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต
ตั้งแต่ปฏิสนธิในครรภ์มารดา ก็มีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครอง แล้วนะ
สิทธิในชีวิตและร่างกาย ที่ใครจะมาทรมาน อุ้มเราไปไม่ได้
สิทธิที่จะได้รับการศึกษาฟรีจากรัฐ จนจบภาคบังคับ
สิทธิที่จะปฏิเสธตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ หากถูกจับกุมจากเจ้าหน้าที่โดยไม่มีหมายจับ
สิทธิในการแสดงความคิดเห็น สิทธิในการเลือกตั้ง หรือแม้แต่วิธีจะได้มาซึ่ง สส. สว. หรือ คุณสมบัติของ นายกรัฐมนตรี ต่างๆเหล่านี้ ถูกเขียนเอาไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ ทั้งสิ้น
การเมืองจะดีไม่ดี ส่วนหนึ่งมาจากกฎหมายรัฐธรรมนูญ
หากเขียนกฎหมายเอาไว้ดี → มีการเลือกตั้งตามระบอบ →
ได้นักการเมืองที่สะท้อนความต้องการประชาชนมาทำหน้าที่ → ทุกคนยอมรับกติกาตามข้อตกลง → การเมืองมีเสถียรภาพ → นโยบายเดินหน้า → เศรษฐกิจเดินหน้า → 4 ปีเลือกตั้งใหม่
กลับกันหากรัฐธรรมนูญเอื้อพวกพ้อง → นักการเมือง “ พวกเดิม”
→ การเมืองติดหล่ม → เสียงประชาชนไร้น้ำหนัก → เศรษฐกิจฝืดเคือง → ปากท้อง ความเป็นอยู่ไม่ดี เพราะนักการเมืองสารวนแก้ปัญหาในพรรค ต่อสู้นิติสงคราม
มากกว่ามา บำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้ประชาชน
ปัญหาของรัฐธรรมนูญปี 2560
ข้อมูลจากการสัมภาษณ์พิเศษของ 2 นักวิชาการด้านกฎหมายและการเมืองไทย ได้แก่
ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล (คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์)
รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย (คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช)
สะท้อนให้เห็นถึงจุดอ่อนสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับนี้
1. ที่มาไม่ยึดโยงกับประชาชน
รัฐธรรมนูญปี 2560 ร่างขึ้นโดยคณะกรรมการที่แต่งตั้งจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีเพียง 20 คนบวกประธาน 1 คน กระบวนการทำประชามติในยุคนั้นก็แทบจะปราศจากการมีส่วนร่วมของประชาชน จึงถูกมองว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ “ไกลจากประชาชนที่สุด”
2. คำถามเรื่องความเป็นกลางของกรรมการ
ในระบอบประชาธิปไตย ความขัดแย้งไม่ใช่ปัญหา หากแต่ต้องอยู่ภายใต้กติกาและมี “กรรมการ” ที่เที่ยงธรรม อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญปี 2560 เปิดช่องให้เกิดข้อกังขา เมื่อวุฒิสภา(สว.) ที่มาจากการแต่งตั้งของ คสช. มีอำนาจเลือกบุคคลเข้าสู่องค์กรอิสระอย่าง ศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. หรือ กกต. แม้ สว. ชุดปัจจุบัน กรรมการที่ควรยืนอยู่กลางสนาม จึงกลับถูกมองว่าอาจเอนเอียงตามที่มาของอำนาจ
3. อำนาจล้นฟ้าของศาลรัฐธรรมนูญ
ศาลรัฐธรรมนูญไทยเป็นหนึ่งในศาลที่มีอำนาจสูงที่สุดในโลก เคยปลดนายกรัฐมนตรี 3 คน สั่งการเลือกตั้งเป็นโมฆะ 2 ครั้ง และยุบพรรคการเมืองมากกว่าร้อยพรรค รัฐธรรมนูญปี 2560 ยังเพิ่มอำนาจอีกสองประการ คือ ตัดสินความซื่อสัตย์สุจริตของนายกฯ และการกำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมที่ใช้กับนักการเมืองทั้งหมด แต่ไม่เคยถูกนำมาใช้กับศาลเอง คำถามคือ ความสมดุลระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการยังเหลืออยู่หรือไม่
4. นวัตกรรมการเมืองที่กลับสร้างปัญหา
จากการเลือกตั้งปี 2562 ถึง 2566 ประเทศไทยเผชิญปัญหาการเมืองติดหล่ม ส.ว. 250 คนมีบทบาทชี้ขาดการเลือกนายกรัฐมนตรี บทบัญญัติหลายข้อถูกใช้เป็นเครื่องมือ “นิติสงคราม” เช่น การยุบพรรคหรือการถอดถอนนายกฯ มากกว่าจะเป็นกติกาเพื่อสร้างการเมืองที่สร้างสรรค์
กระบวนการแก้ไข และเงื่อนไขใหม่จากศาลรัฐธรรมนูญ
เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า
หากจะยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ต้องผ่านการทำประชามติถึง 3 ครั้ง ได้แก่
ประชามติว่าควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่
ประชามติเกี่ยวกับวิธีการและเนื้อหาสำคัญ
ประชามติรับรองร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หลังจัดทำเสร็จ
แต่ศาลยังวินิจฉัยว่า รัฐสภาไม่สามารถให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรงได้ (หรือที่ก่อนหน้านี้หลายฝ่ายเรียกว่า กระบวนการสรรหา สภาร่างรัฐธรรมนูญไทย หรือ สสร.) อาจารย์ปริญญาจึงให้ความเห็นว่า เพราะในจุดนี้จึงทำให้กระบวนการเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ต้องกลับไปใช้การเลือกทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นให้ประชาชนเลือกตัวแทน เพื่อไปเลือก ผู้ร่างรัฐธรรมนูญอีกชั้นหนึ่ง หรือ ให้ส.ส. เป็นผู้เลือกเลย หรือให้รัฐสภา (ส.ส.+ส.ว.) ร่วมกันเลือก ซึ่งทั้งหมดก็ยังคงสะท้อนปัญหาความซับซ้อนและความยากในการแก้ไขรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบัน
แก้หรือไม่ทางออกยังอยู่ที่ประชาชน?
อาจารย์ปริญญาเสนอว่า แม้ศาลจะไม่เปิดทางเลือกผู้ร่างโดยตรง แต่การทำประชามติครั้งแรกอาจเพิ่มคำถามประกอบเพื่อรับฟังความเห็นของประชาชนเจ้าของประเทศได้เลย เช่น “ท่านเห็นชอบหรือไม่ว่าผู้ร่างรัฐธรรมนูญควรมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน” คำถามนี้ไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยศาล แต่เป็นการสะท้อนเจตจำนงของเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง
ขณะที่อาจารย์ยุทธพรมองว่า แม้จะทำประชามติได้ แต่ท้ายที่สุดทุกอย่างยังต้องกลับไปติดที่สภาและเสียง ส.ว. ตามมาตรา 256 การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับจึงอาจใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1–2 ปี และอาจไม่สำเร็จหากโครงสร้างที่สืบทอดจาก คสช. ยังไม่ถูกคลี่คลาย...
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
