ลุ้นรัฐปรับแพ็กเดินทาง BEM เด่นรับอัพไซด์เพิ่ม

#BEM #ทันหุ้น - “พิพัฒน์” ลั่นรัฐบาลมุ่งลดภาระค่าครองชีพผ่านแพ็กเกจครอบคลุมทุกการเดินทางระบบขนส่งสาธารณะ รวมถึงค่าทางด่วน ด้านโบรกชี้นโยบายเหมาจ่าย 40 บาทต่อวันมีความยืดหยุ่นกว่า คาดต้องอาศัยระบบตั๋วร่วม และคาดเห็นผลชัดเจนในปี 2569 ยกให้ BEM เป็นหุ้นเด่น มีโอกาสอัพไซด์เพิ่มจากโครงการ Double Deck ราว 1–1.5 บาทต่อหุ้นจากเป้า 9.75 บาท
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงกรณีค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีม่วงสูงสุดไม่เกิน 20 บาทตลอดสายว่า กระทรวงจะนำกลับมาศึกษาและเจรจาร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) รัฐบาลชุด นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีมติครม.ขยายมาตรการระยะที่ 2 ไปสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2569 จากเดิมที่จะสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายน 2568 นี้
เบื้องต้น ในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 นี้ รถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีม่วงต้องกลับไปเก็บค่าโดยสารในราคาปกติ แต่อาจจะเป็นเพียงระยะเวลาหนึ่ง หลังจากคณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งการลดภาระค่าครองชีพประชาชนจะเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล เบื้องต้นได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมไปศึกษาแนวทางลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ทั้งการเดินทางของประชาชนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงประชาชนต่างจังหวัดที่ต้องเดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯ ซึ่งจะพิจารณาให้ครอบคลุมการเดินทางในทุกมิติ ทั้งรถโดยสารประจำทาง (รถเมล์), ระบบราง, การเดินทางทางน้ำ รวมถึงภาะค่าทางด่วน ขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 จะนำมาพิจารณาเป็นแพ็กเกจการลดภาระค่าเดินทางให้ประชาชน
ต้องพิจารณาทุกมิติ
“องค์ประกอบการเดินทางของประชาชนในแต่ละวัน ไม่ได้อยู่แค่รถไฟฟ้าสายสีแดงและสีม่วงเท่านั้น รัฐบาลมองในภาพรวมทั้งหมดรวมถึงหารือกับภาคเอกชนเจ้าของสัมปทานด้วย เพื่อแบ่งเบาภาระให้ประชาชนคนไทยทุกคน โดยไม่ได้จำกัดเพียงแค่รถไฟฟ้าเท่านั้น แต่จะพิจารณาให้ครอบคลุมการเดินทางในทุกมิติ ทั้งระบบขนส่งสาธารณะ และที่สำคัญคือค่าผ่านทางด่วน หลังจากแถลงนโยบายเสร็จก่อน จากนั้นคงไม่เกิน 2 สัปดาห์จะมีการประกาศความชัดเจนและเริ่มใช้”
พร้อมกันนี้ รัฐบาลจะเร่งศึกษาแนวทางการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนทั้ง 2 รายกลับมาบริหารจัดการ เพื่อลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชนได้ในระยะยาวอย่าเป็นรูปธรรม
คาดต้องใช้ระบบตั๋วร่วม
บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุถึงนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้าแบบเหมาจ่าย 40 บาทตลอดวัน สำหรับรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยประเมินจากข้อมูลสาธารณะ ได้ว่า ผู้โดยสารทุกคนอาจจำเป็นต้องใช้ตั๋วร่วมเพื่อรับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ซึ่งแนวทางการดำเนินนโยบายดังกล่าวมีความยืดหยุ่น ที่สามารถดำเนินการให้เป็นรูปธรรมได้มากกว่านโยบาย 20 บาทตลอดสาย
เบื้องต้นคาดว่าจะเห็นผลกระทบจากนโยบายเหมาจ่าย 40 บาท อย่างเป็นรูปธรรมในปี 2569 ทั้งนี้การกำหนดค่าโดยสารแบบเหมาจ่ายวันละ 40 บาท เท่ากับราคาค่าโดยสารลงราว 33–41% ดังนั้นเพื่อชดเชยรายได้จากการลดค่าโดยสารนี้ จำเป็นต้องมีปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 40–71% จึงจะสามารถรักษาระดับรายได้เท่าเดิมได้
และเมื่อเทียบกับมาตรการนั่งฟรี 7 วัน (25–31 ม.ค. 2568) ที่ผ่านมา พบว่าปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 34–89% ดังนั้นนโยบายดังกล่าว ไม่น่าจะสร้าง Upside ให้ผู้ประกอบการ ขณะที่รัฐบาลยังคงต้องเข้ามาอุดหนุนเพื่อให้รายได้ของภาคเอกชนเจ้าของสัมปทานเติบโตสอดคล้องกับการขยายตัวตามปกติ
ชู BEM เด่น-มีอัพไซด์
ในเชิงปัจจัยพื้นฐาน คาดว่าปริมาณการจราจรในไตรมาส 4/2568 จะกลับมาเติบโตเมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) จากสัญญาณเชิงบวกเริ่มชัดขึ้นจากการที่การท่องเที่ยวชะลอตัวในเดือนสิงหาคมน้อยกว่าที่คาด รวมถึงการรายงานปริมาณผู้โดยสารในช่วง 8 วันแรกของเดือนกันยายน 2568 ปริมาณผู้โดยสาร MRT สายสีน้ำเงินเพิ่มขึ้น 6% และ BTS สายสีเขียวหลัก เพิ่มขึ้น 3% ตามแรงหนุนจากการเปิดโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค
จึงยังคงมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มธุรกิจขนส่งทางรางและทางด่วน โดยเลือก BEM เป็นหุ้นเด่นที่สุด เนื่องจากมีอัพไซด์ด้านมูลค่า และยังได้ปัจจัยหนุนระยะสั้นจากการมีโอกาสชนะโครงการ Double Deck ซึ่งอาจเพิ่มมูลค่าได้ 1–1.5 บาทต่อหุ้นจากราคาตามปัจจัยพื้นฐาน 9.75 บาท
อย่างไรก็ดี ธุรกิจที่ตั้งอยู่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้ามีแนวโน้มได้ประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณผู้โดยสาร โดยทุกการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้โดยสาร 10% จะสร้างโอกาสให้รายได้จากการโฆษณาและค่าเช่าปรับขึ้นตามการจราจรของผู้โดยสาร คาดว่าจะหนุนกำไรของ VGI เพิ่ม 16.4%, BTS 3.8%, PLANB 2.3% และ BEM 1.5%
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
