InnovestXชี้รัฐกระตุ้นศก. ดันหุ้นไทยไตรมาส4ขึ้นต่อ

#InnovestX #ทันหุ้น – InnovestX ประเมินทิศทางการลงทุนไตรมาส 4/2568 เริ่มดูดีขึ้นจากภาพรวมทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะได้มาตรการรัฐหนุน และช่วยกระตุ้น GDP ไทยได้ประมาณ 0.1% ประเมิน GDP ไทยทั้งปีไว้ที่ 1.8% พร้อมมองกรอบดัชนีสิ้นปี 2568 จนถึงปี 2569 ไว้ที่ 1,350-1,400 จุด พร้อมแนะนำกลยุทธ์ลงทุนให้หุ้นเด่น ได้แก่ AP, CENTEL, DIF, HMPRO และ MTC
นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย Head of Research Department บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด หรือ InnovestX เปิดเผยว่า มองเศรษฐกิจไตรมาส 4/2568 ว่า บรรยากาศการลงทุนมีความชัดเจนขึ้น จากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่คลี่คลายลง เนื่องจากรัฐบาลมีการพูดถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่าง โครงการคนละครึ่ง ซึ่งมาตรการเหล่านี้น่าจะช่วยบรรเทาความเสี่ยงที่ยังมีอยู่รอบด้านได้ในระดับหนึ่ง คาดว่าจะช่วยกระตุ้น GDP ได้ประมาณ 0.1% ดัน GDP ไทยปีนี้จะเติบโต 1.8% และปีหน้าเติบโต 1.4%
“ยังจำเป็นต้องจับตาดูว่ารัฐบาลจะมีการออกมาตรการอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ ทั้งนี้ยังคาดว่าปีหน้าจะเห็นภาพของการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตามภาพรวมแม้จะดีขึ้นแต่ปัจจัยที่ต้องระมัดระวัง คือ การเมืองที่อาจมีการพลิกได้อยู่”
@มองกรอบดัชนี 1,350–1,400 จุด
ด้าน นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยไตรมาส 4/2568 ความเสี่ยงขาลงจำกัด ส่วน Upside ก็มีแต่ไม่กว้างนัก นักลงทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ควรเลือกหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวเศรษฐกิจในประเทศ ภายใต้ธีม Domestic Play ที่หนุนด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การฟื้นตัวของท่องเที่ยว แนวโน้มดอกเบี้ยขาลง และเงินบาทแข็งค่าที่ช่วยดึงเงินทุนต่างชาติ
ดังนั้น InnovestX จึงปรับเป้าหมาย SET ปี 2568-2569 ที่ 1,350–1,400 จุด จากเดิมที่มอง 1,250-1,300 จุด โดยมองว่าบริเวณต่ำกว่า 1,200 จุดน่าสนใจในการเข้าซื้อ
@กลยุทธ์การลงทุน
ทั้งนี้กลุ่มที่แนะนำการลงทุน ได้แก่ กลุ่ม Commerce, กลุ่ม REIT, กลุ่ม Telecom, กลุ่ม Consumer Finance, กลุ่ม Company, กลุ่มท่องเที่ยว รวมถึงกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากบาทที่แข็งค่า เช่น กลุ่ม Utility, กลุ่มสายการบิน ซึ่งควรเล่นเป็นจังหวะเพราะพื้นฐานอาจไม่แข็งแรงมากนัก
และกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ กลุ่มที่อิงค่าเงินบาทผันผวน (เช่น อาหาร,ปิโตรเคมี), กลุ่มยานยนต์, กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (สาเหตุหลัก คือ ค่าเงินบาท และมี Valuation ที่สูงอย่าง DELTA)
ดังนั้นกลยุทธ์หลัก คือ คัดเลือกหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง งบดุลมั่นคง ได้อานิสงส์จากอุปสงค์ในประเทศ ดอกเบี้ยขาลง และนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ พร้อม Valuation สมเหตุสมผล หุ้นเด่น ได้แก่ AP, CENTEL, DIF, HMPRO และ MTC ซึ่งตอบโจทย์ทั้งการป้องกันความเสี่ยงและการเติบโตระยะยาว
ขณะเดียวกันแนวโน้มเศรษฐกิจโลกมีเสถียรภาพมากขึ้น หนุนบรรยากาศการลงทุนเชิงบวก โดยมีปัจจัยจากเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่ง จีนเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจ และแนวโน้ม Fed กับ ธปท. ลดดอกเบี้ย กลยุทธ์คือเน้นหุ้นวัฏจักรและอุตสาหกรรมที่เติบโตตามเศรษฐกิจ รวมถึงหุ้นเทคโนโลยีที่ได้อานิสงส์จากดอกเบี้ยขาลงทำให้ต้นทุนลด ส่วนตลาดเกิดใหม่ยังได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นและดอลลาร์อ่อนค่า
อย่างไรก็ดีแม้ Upside หุ้นโลกจำกัด แต่ยังมีโอกาสปรับขึ้นต่อ โดยหุ้นเด่น ได้แก่ TSLA, MSFT, NVDA, AAPL, RTX, JPM (สหรัฐฯ), ASML, LVMH, BAE System, ABB, BNP Paribas, L’Oreal (ยุโรป) และ Tencent, Alibaba, SMIC, Trip.com, HKEX, Lenovo, Xpeng/Zeekr (จีน)
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
