TOP โบรกฯ มองแปลงสินทรัพย์เป็นเงินหนุนฐานะการเงินแกร่งขึ้น อัพราคาเป้าหมาย

#TOP #ทันหุ้น-บล.กสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์หุ้นบริษัท ไทยออยล์ จำกัด(มหาชน) หรือ TOP ที่เมื่อวานนี้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯว่า TOP จะเข้าทำสัญญาปล่อยเช่าสินทรัพย์ระยะยาว และสัญญาเช่ากลับ เป็นระยะเวลา 21 ปี กับบริษัทร่วมทุน(JV) แห่งใหม่ โดยบริษัทร่วมทุนนี้จะมี TOP ถือหุ้น 51% และ PTT Tank ถือหุ้น 49% สำหรับสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานของ TOP ได้แก่ถังเก็บน้ำมันดิบ ทุนรับน้ำมันดิบกลางทะเล หรือ SMB สถานีขนถ่ายน้ำมัน และที่ดิน มูลค่ารวมของสินทรัพย์ที่ปล่อยให้เช่าระยะยาวดังกล่าวอยู่ที่ 3.74 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ TOP จะเช่าสินทรัพย์ดังกล่าวกลับโดยมีสัญญาเช่าอายุ 3 ปี มีค่าเช่า 9.80 พันล้านบาท ซึ่งจะต่ออายุโดยอัตโนมัติหากไม่มีการแจ้งยกเลิก โดยคาดว่าธุรกรรมนี้จะแล้วเสร็จภายในปี 2568
ฝ่ายวิจัยกสิกรไทย มองว่าการแปลงสินทรัพย์เป็นเงินนี้ บ่งชี้ว่าต้นทุนทางการเงินสุทธิของเงินสดใหม่ 1.82 หมื่นล้านบาท อยู่ที่เพียง 3.3% ต่อปี ซึ่งต่ำกว่าต้นทุนหนี้ในปัจจุบัน(4-5%) และการระดมทุนผ่านทางเลื่อกอื่นๆ (7%) เช่น การออกหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน และ REIT แม้ว่าอัตราส่วน net debt/EBITDA จะลดลงอย่างมาก แต่ธุรกรรมดังกล่าว ทำให้เกิด downside ต่อประมาณการกำไรของฝ่ายวิจัยกสิกรไทยราวๆ 8%
นอกจากนี้ฝ่ายวิจัยคาดว่า TOP มีแผนปรับโครงสร้างเพิ่มเติมในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากเกณฑ์ net debt/EBITDA ของสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือในการรักษาอันดับความน่าเชื่อถือไว้ที่ระดับลงทุนอยู่ที่ประมาณ 6.5 เท่า TOP จึงมีแผนที่จะออกหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ และขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักเพิ่มเติม เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับสถานะทางการเงินของบริษัท เช่น ธุรกิจผลิตไฟฟ้า และ CAP
ฝ่ายวิจัยกสิกรไทย คงคำแนะนำซื้อหุ้น TOP พร้อมทั้งปรับเพิ่มราคาเป้าหมายกลางปี 2569 เป็น 39.50 บาท จากเดิมที่ 36.50 บาท โดยมีมุมมองเชิงบวกต่อ TOP เนื่องจากประโยชน์ที่ได้รับจากแผนแปลงสินทรัพย์เป็นเงินกำไรช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ที่คาดว่าจะแข็งแกร่งขึ้นจาก GRM ที่ปรับดีขึ้น และมูลค่าหุ้นเชิง PBV ที่ต่ำเป็นอันดับสองในบรรดาคู่แข่งในกลุ่มโรงกลั่นปิโตรเคมีของไทย
ด้านบล.ทรีนีตี้ คงคำแนะนำถือหุ้น TOP ให้ราคาเป้าหมายที่ 32.00 บาท มองว่าธุรกรรมที่ทำสมเหตุสมผลในระยะยาวที่้ต้องการรักษา credit rating ด้วยการ Asset Monetization Lease & Leaseback เพื่อให้เงินสดนำไปลดหนี้ และการทำ Lease & Leaseback ไม่สร้างภาระให้แก่ฐานะทางการเงินของบริษัท ซึ่งถ้าบริษัทยังสามารถรักษา credit rating ในระดับ Investment Grade ไว้ได้ จะสร้างความยืดหยุ่นในการใช้เครื่องมือทางการเงินในอนาคตต่อไปได้ เช่นการออก Perpetual Bond เป็นต้น อย่างไรก็ตามผลกระทบต่อกำไรขาดทุนนั้น คาดว่าจะส่งผลทำให้กำไรสุทธิของบริษัทปรับลดลงปีละ 600 ล้านบาท หรือประมาณ 4-5% จากประมาณการของฝ่ายวิจัยในปี 2569
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
