“วรภัค”ชี้เครดิตประเทศลดไม่สะเทือน เพราะไทยกู้ต่างประเทศน้อย

#ทันหุ้น “วรภัค”ระบุ จะเร่งวางรากฐานของ Fiscal Consolidation เพื่อสร้างความมั่นคงทางการคลังยันเครดิตประเทศลดไม่สะเทือน เพราะไทยกู้ต่างประเทศน้อย ปฏิเสธขึ้นแวต ระบุ รัฐบาลอยู่ได้แค่ 4 เดือน
นายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงการคลังกล่าวภายหลังเข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในกระทรวงการคลังเช้าวันนี้(25ก.ย.)ว่า ในช่วงสี่เดือนของรัฐบาลชุดนี้ กระทรวงการคลังจะวางรากฐานของ Fiscal Consolidation เพื่อสร้างความมั่นคงทางการคลัง
ขณะเดียว นายวรภัค ปฏิเสธการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม จากที่ก่อนหน้านี้เขาเคยโพสต์ใน FB ว่า ควรมีการปรับภาษีมูลค่าเพิ่มในช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งเขากล่าวว่า ไม่เป็นความจริงที่จะมีการปรับขึ้น VAT ในขณะนี้ ซึ่งรัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลชั่วคราว ( interim) เพียงสี่เดือน
“ในสี่เดือนเราพยายามที่จะทำให้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ขับเคลื่อนผลักดันตามนโยบายรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกระตุ้นเศรษฐกิจ โครงการคนละครึ่ง เสริมสภาพคล่อง ลดหนี้ และเรื่องพลังงาน และพยายามเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐ” นายวรภัค กล่าว
เขากล่าวอีกว่า ตามนโยบายของรองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศนั้นกระทรวงการคลังจะพยายาม ริเริ่ม วางฐานของ Fiscal Consolidation ตั้งแต่เรื่องการจัดเก็บ ค่าใช้จ่าย และหนี้ อย่างน้อยมีวินัย มีความยั่งยืน มั่นคงมากขึ้น เพราะถ้าดูจาก Rating ปรับ outlook เป็นNegative หลักๆมาจากสองอัน เรื่องการเมือง เรื่องมั่นคง กับเรื่องวินัยการเงินการคลัง ที่ฐานะการคลังมันยวบไปเรื่อยๆ
“อย่างไรก็ตามเรื่อง credit rating ไม่สะเทือนเรา เพราะเรากู้จากต่างประเทศน้อยมาก”นายวรภัคกล่าว
ทั้งนี้ จากข้อมูลของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ( PDMO) ระบุว่า ณ เดือนกรกฎาคมนี้ รัฐบาลมีหนี้สาธารณะรวม 12.12 ล้านล้านบาท คิดเป็น 64.49 % ของ GDP โดยในจำนวนนี้ เป็นหนี้ในประเทศ99.16 % และเป็นหนี้ในสกุลเงินต่างประเทศ 0.84%
ก่อนหน้านี้ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง นายเอกนิติ นิติทัณฑประภาศ กล่าวว่า ในเดือนพ.ย.นี้กระทรวงการคลัง จะเสนอ ครม.เพื่อปรับ Medium Term Fiscal Framework (MTFF) เพื่อสร้างความมั่นใจในฐานะ เพื่อให้เห็นว่าแผนชัดเจนที่ต้องการปฏิรูปการคลัง จะทำอะไรบ้าง ที่ทำได้จะทำเลย ที่ทำไม่ได้จะทำเป็นแผนไว้ เพราะรัฐบาลช่วง 4 เดือน
จากข้อมูลของสศค.พบว่า ในปีงบประมาณ 2566 รัฐบาลขาดดุลงบประมาณเป็นสัดส่วนต่อ GDP ที่2.80 % ขณะที่ระดับที่เอื้อต่อการรักษาเสถียรภาพด้านหนี้ อยู่ที่ 2.47 % ,ปีงบประมาณ 2567 รัฐบาลขาดดุลต่อ GDP ที่ 3.72 % ขณะที่ระดับที่เอื้อต่อเสถียรภาพด้านหนี้อยู่ที่ 1.82 % และล่าสุดปีงบประมาณ 2568 รัฐบาลขาดดุลสูงถึง 4.91% ขณะที่ระดับที่เอื้อต่อเสถียรภาพด้านหนี้อยู่ที่ 1.72 % จะเห็นได้ว่าระดับการขาดดุลของรัฐบาล ถ่างออกจากระดับที่จะทำให้หนี้ของรัฐบาลมีเสถียรภาพมากขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับแนวคิดการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น ที่ผ่านมามีการเสนอให้ขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยสศค.ระบุว่าการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม 1 % จะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้น 7 หมื่นล้านบาท
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
