ถอดรหัสยุทธศาสตร์ "เซมิคอนดักเตอร์" กับเป้าหมาย 5 แสนล้าน
"เซมิคอนดักเตอร์" กลายเป็นคำสำคัญในวงการอุตสาหกรรมโลกที่ไม่มีใครปฏิเสธความสำคัญได้ ล่าสุดรัฐบาล "แพทองธาร ชินวัตร" ได้เดินหน้าผลักดันยุทธศาสตร์ด้านนี้อย่างจริงจัง โดยนั่งเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ชั้นสูงแห่งชาติด้วยตนเอง พร้อมตั้งเป้าดึงเม็ดเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาทในระยะ 5 ปี (2568-2572)
"เซมิคอนดักเตอร์" คืออะไร?
"เซมิคอนดักเตอร์" หรือ "สารกึ่งตัวนำ" เป็นวัสดุมหัศจรรย์ที่เปรียบเสมือน "สมองกลาง" ของเทคโนโลยีดิจิทัลยุคใหม่ทั้งหมด ด้วยคุณสมบัติพิเศษที่สามารถควบคุมการไหลของกระแสไฟฟ้าได้ (นำไฟฟ้าได้บางสภาวะ) ทำให้มันกลายเป็นวัสดุหลักในการผลิต "ชิป" หรือ "วงจรรวม" ที่พบได้ในทุกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ รถยนต์ หรือแม้แต่เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องอาศัยชิปที่ทำจากเซมิคอนดักเตอร์เป็นสมองในการประมวลผลและควบคุมการทำงาน
การผลิตชิปจากเซมิคอนดักเตอร์แบ่งเป็น 3 ขั้นตอนหลัก เริ่มจาก "ต้นน้ำ" คือการออกแบบและผลิตแผ่นวงจร "กลางน้ำ" คือการตัดแผ่นวงจรเป็นชิ้นเล็กๆ และประกอบเป็นชิป และ "ปลายน้ำ" คือการนำชิปไปใส่ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยไทยมีความเชี่ยวชาญในขั้นกลางน้ำและปลายน้ำอยู่แล้ว แต่กำลังมุ่งพัฒนาขั้นต้นน้ำที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูงสุด เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในภูมิภาค
ทำไมต้องเซมิคอนดักเตอร์?
เซมิคอนดักเตอร์กำลังกลายเป็น "ทองคำแห่งยุคดิจิทัล" ที่ทั่วโลกต่างแย่งชิงการลงทุนและพัฒนาอุตสาหกรรมนี้อย่างเข้มข้น โดยมูลค่าตลาดเซมิคอนดักเตอร์โลกมีแนวโน้มพุ่งทะยานสู่ระดับ "1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ" ภายในปี 2030 สาเหตุสำคัญมาจากความต้องการใช้งานในเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็นปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ต้องการชิปประมวลผลประสิทธิภาพสูง, ศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่ต้องรองรับการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่, อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) ที่ต้องการเซ็นเซอร์และชิปควบคุมจำนวนมาก รวมถึงยานยนต์ไฟฟ้า เครื่องมือแพทย์ อุปกรณ์สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ ไปจนถึงระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์
นอกจากมูลค่าตลาดมหาศาลแล้ว การพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ยังเป็นการสร้างความมั่นคงทางเทคโนโลยีให้กับประเทศ ช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าชิ้นส่วนสำคัญจากต่างประเทศ สร้างความต่อเนื่องในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมดิจิทัล และเพิ่มอำนาจต่อรองในเวทีการค้าระหว่างประเทศ ขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมนี้ยังช่วยสร้างงานที่มีทักษะสูงและค่าตอบแทนสูง ดึงดูดการลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก และยกระดับขีดความสามารถของบุคลากรในประเทศ
ด้านโอกาสทางการตลาด ความต้องการชิปทั่วโลกยังเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ประกอบกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลง ทำให้หลายประเทศมองหาฐานการผลิตใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยง จึงเป็นโอกาสสำคัญของไทยในการก้าวขึ้นมาเป็นฐานการผลิตทดแทน การลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จึงไม่เพียงแต่เป็นการสร้างรายได้ แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาประเทศในยุคดิจิทัล ที่ทุกอุตสาหกรรมต้องพึ่งพาชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ
จุดแข็งของไทยในตลาดเซมิคอนดักเตอร์
ประเทศไทยไม่ใช่หน้าใหม่ในวงการนี้ โดยในปี 2566 อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าของไทยมียอดส่งออกสูงถึง "2.5 ล้านล้านบาท" (คิดเป็น 25% ของการส่งออกทั้งประเทศ) โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์ที่มีมูลค่าส่งออกสูงถึง "5.1 แสนล้านบาท" นอกจากนี้ ไทยยังเป็นฐานการผลิตสำคัญในห่วงโซ่อุปทานกลางน้ำและปลายน้ำ โดยเฉพาะการประกอบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ (OSAT) และการผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB)
ยุทธศาสตร์สำคัญของรัฐบาล
รัฐบาล "แพทองธาร" วางยุทธศาสตร์ชัดเจนในการผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดยเริ่มจากการจัดตั้ง "บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงแห่งชาติ" ที่มีนายกรัฐมนตรีนั่งเป็นประธานเอง พร้อมจ้างที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลกมาวางแผนยุทธศาสตร์แบบครบวงจร ตั้งแต่การประเมินศักยภาพของประเทศ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ไปจนถึงการกำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่จูงใจ โดยตั้งเป้าดึงบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างน้อย 10 รายให้เข้ามาลงทุนในไทย
ยุทธศาสตร์แรกที่รัฐบาลให้ความสำคัญคือ "การพัฒนาอุตสาหกรรมต้นน้ำ" ซึ่งเป็นจุดที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูงสุดในห่วงโซ่อุปทาน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาความสามารถในการออกแบบวงจรรวม (IC Design) และการผลิตแผ่นเวเฟอร์ (Wafer Fabrication) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและการลงทุนมหาศาล ขณะเดียวกันก็วางแผนสร้างโครงสร้างพื้นฐานระดับชาติ เช่น ศูนย์ผลิต Wafer Fabrication และศูนย์วิจัยและพัฒนา เพื่อสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งและดึงดูดการลงทุน
อีกยุทธศาสตร์สำคัญคือ "การพัฒนากำลังคน" โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้วางแผนผลิตบุคลากรเฉพาะทางและนักวิจัยระดับสูงถึง 84,900 คนภายในปี 2573 ผ่านโครงการพัฒนาทักษะ (Upskill) และปรับทักษะใหม่ (Reskill) รวมถึงการพัฒนาหลักสูตรการศึกษารูปแบบใหม่แบบ Sandbox และโปรแกรมฝึกงานนานาชาติ พร้อมจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมเฉพาะทาง 6 แห่งทั่วประเทศ เพื่อสร้างบุคลากรคุณภาพป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศผู้นำด้านเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และพัฒนาศักยภาพบุคลากรไทยให้ทัดเทียมระดับสากล
กลไกขับเคลื่อนสู่ความสำเร็จ
เพื่อให้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เซมิคอนดักเตอร์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม รัฐบาลได้จัดตั้งคณะอนุกรรมการ 2 ชุดที่มีบทบาทสำคัญ โดยชุดแรกคือ "คณะอนุกรรมการกำกับการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรม" นำโดยเลขาธิการบีโอไอ ซึ่งจะทำหน้าที่กำหนดทิศทางและมาตรการส่งเสริมการลงทุน วางแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และประสานงานกับภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อดึงดูดการลงทุนและถ่ายทอดเทคโนโลยี รวมถึงการเจรจาความร่วมมือกับประเทศผู้นำด้านเซมิคอนดักเตอร์เพื่อพัฒนาห่วงโซ่อุปทานระดับโลก พร้อมทั้งติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์อย่างต่อเนื่อง
ส่วนชุดที่สองคือ "คณะอนุกรรมการพัฒนาบุคลากร" นำโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มีภารกิจสำคัญในการเร่งผลิตและพัฒนาบุคลากรให้ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรม ทั้งการออกแบบหลักสูตรร่วมกับภาคเอกชน การสร้างความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาชั้นนำต่างประเทศ การจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมเฉพาะทาง และการพัฒนาโครงการวิจัยร่วมกับภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังมีแผนจัดตั้ง "ศูนย์พัฒนาทักษะเซมิคอนดักเตอร์" (Semiconductor Training Hub) 6 แห่งทั่วประเทศ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาบุคลากรแบบครบวงจร ตั้งแต่ระดับช่างเทคนิคไปจนถึงนักวิจัยและวิศวกรระดับสูง โดยตั้งเป้าผลิตบุคลากรให้ได้ 84,900 คนภายในปี 2573 เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรม
--------------------
แม้ไทยจะมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ แต่การก้าวสู่การเป็น "ศูนย์กลางเซมิคอนดักเตอร์แห่งภูมิภาค" ยังต้องเผชิญความท้าทายสำคัญ ทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การผลิตบุคลากร และการดึงดูดการลงทุนจากบริษัทชั้นนำระดับโลก อย่างไรก็ตาม ด้วยความมุ่งมั่นของรัฐบาลและการวางรากฐานที่แข็งแกร่ง โอกาสในการบรรลุเป้าหมายการลงทุน 5 แสนล้านบาทใน 5 ปีข้างหน้าจึงไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม
ภาพ Freepik