รีเซต

"ผ่อนต่อไม่ไหว" คนไทยถูก "ยึดบ้าน" พุ่ง 2 เท่า กลุ่มราคาต่ำกว่าล้านโดนเยอะสุด เกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจไทย ?

"ผ่อนต่อไม่ไหว" คนไทยถูก "ยึดบ้าน" พุ่ง 2 เท่า กลุ่มราคาต่ำกว่าล้านโดนเยอะสุด เกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจไทย ?
TNN ช่อง16
4 ธันวาคม 2568 ( 08:00 )

ผ่อนบ้านไม่ไหว คนไทยถูก "ยึดบ้าน" พุ่ง 210% กลุ่มบ้านราคาต่ำกว่าล้านโดนเยอะสุด เกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจไทย ? 


คนไทยผ่อนบ้านไม่ไหว กำลังจะถูกยึดบ้านพุ่งมากขึ้น? ข้อมูลน่าตกใจจากทาง “ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์” (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)ในรายงานข้อมูลตลาดที่อยู่อาศัยมือสองในไตรมาส 2 ของปีนี้ 2568 มีจำนวนประกาศขาย “บ้านมือสอง” เพิ่มขึ้นถึง 34.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน


และที่หนักไปมากกว่านั้น ก็คือ บ้านมือสองที่ถูกนำมาประกาศมากขึ้นที่สุด มาจากกรมบังคับคดี หรือหมายความบ้านที่ถูกยึดมาแล้วนำมาขายต่อนั่นเอง โดยยอดประกาศขายของ “กรมบังคับคดี” มีหน่วยเพิ่มขึ้นถึง 210% และมูลค่าทรัพย์เพิ่มขึ้น 213% พูดง่ายๆให้เห็นภาพเท่ากับวันนี้ประเทศไทยมี ตัวเลข “บ้านที่ถูกยึด” พุ่งขึ้นมากกว่า 2 เท่าตัวภายในเวลาเพียงแค่ปีเดียว


แต่อย่างไรก็ตามหากมองทั้งตลาด พบว่าตัวเลขของบ้านมือสองที่ประกาศขายโดยบุคคลทั่วไปและตัวแทนอสังหาฯ ยังมีจำนวนมากกว่าเล็กน้อย คือ 68,834 หน่วย แต่กรมบังคับคดีก็กำลังไล่ตามมาติดๆ คืออยู่ที่ 67,641 หน่วย ซึ่งนับว่าเป็นสัญญาณที่ต้องจับตา เพราะเป็นการพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นประวัติการณ์


ทางศูนย์ REIC วิเคราะห์ว่า สถานการณ์ดังกล่าวนี้เป็นผลมาจากปัญหาหนี้ครัวเรือนระดับสูง  เพราะประชาชนจำนวนมากเริ่มขาดสภาพคล่อง และผ่อนบ้านต่อไม่ไหวแล้ว จนทำไปสู่การถูกยึดและถูกนำมาขายทอดตลาด  นอกจากนี้ที่น่าสนใจ คือ พบว่า บ้านที่ถูกขายผ่านกรมบังคับคดีส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มเป็น “บ้านราคาต่ำ” โดยกลุ่มราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาทไม่เกิน 1.5 ล้านบาทมีจำนวนมากที่สุด 


ขณะที่มูลค่ารวมของทรัพย์สินในประกาศขายจากกรมบังคับคดีอยู่ที่ประมาณ 120,301 ล้านบาท ในขณะที่ของบุคคลทั่วไปสูงถึง กว่า 508,000 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนว่าผู้ถูกยึดส่วนใหญ่เป็นกลุ่มประชาชนรายได้น้อยถึงปานกลาง


ประเภทของอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกประกาศขายมากที่สุด ได้แก่

1.บ้านเดี่ยว              44.1%

2.ทาวน์เฮาส์            30.1%

3.ห้องชุด                 21.1%

4.อาคารพาณิชย์      2.9%

5.บ้านแฝด               1.7%


ราคาที่พบมากที่สุด คือ

ไม่เกิน 1 ล้านบาท              82.4%

1.01 - 1.50 ล้านบาท          57%

1.51 - 2.00 ล้านบาท          33.1%


ปัญหาคนไทยผ่อนบ้านไม่ไหว ได้กลายเป็นภาพสะท้อนที่น่าห่วงเรื่องหนี้ของคนไทย 


ล่าสุด ทางสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่าจากข้อมูลดังกล่าว ทำให้สภาพัฒน์มีความเป็นห่วงลูกหนี้สินเชื่อบ้านเป็นอย่างยิ่ง โดยนางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการสภาพัฒน์ฯ มองว่าสาเหตุที่บ้านถูกยึดเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงทำให้ลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ และมาจากการที่มีการกู้ยืมในภาคอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น และมีการลงทุนผิดเวลารวมถึง มีการเก็งกำไร


พร้อมระบุว่าการถูกยึดบ้านไปแล้วยังไม่ได้ทำให้ปัญหาหนี้จบลงโดยสิ้นเชิง เพราะอ้างอิงจากการศึกษาของธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่า แม้ทรัพย์สินจะถูกขายทอดตลาดและยังอาจถูกยึดหรืออายัดทรัพย์สินเพิ่มเติม แต่ 1 ใน 3 ของลูกหนี้ในคดียึดทรัพย์ยังต้องติดอยู่ในวงจรหนี้ ดังนั้นจึงมองว่าปัญหานี้ต้องแก้ด้วยการเร่งดำเนินการช่วยเหลือลูกหนี้ก่อนเข้าสู่กระบวนการบังคับคดี ก่อนจะถูกยึดบ้านไป เพื่อลดผลกระทบจากการสูญเสียที่อยู่อาศัย ซึ่งทำได้ผ่านหลายทาง ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และการไกล่เกลี่ยหนี้ทั้งก่อนหรือหลังการบังคับคดี





"อสังหาริมทรัพย์" ปี 2568 อ่วมหนัก ตัวเลขติดลบทั้งแผง ยอดโอน-ปล่อยกู้ 


ยอดโอนบ้านทั่วประเทศไทยปีนี้ ติดลบ แต่ปลายปียังมีความหวังว่ายอดจะฟื้นตัวได้จากมาตรการรัฐ และคาดว่าปีหน้ายังมีความหวังจะติดลบน้อยลง 


นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ในฐานะรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า ภาพรวมการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศทั้งปี 68 ยังคงติดลบ แต่เป็นการติดลบที่ลดลงกว่าที่เคยคาดการณ์ โดยจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศจำนวน 322,500 หน่วย ลดลง 7.3% เมื่อเทียบกับปี 2567 และมีมูลค่าการโอนประมาณ 8.73 แสนล้านบาท ลดลงถึง 10.9% 


เช่นเดียวกับสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ทั่วประเทศในปี 2568 มีมูลค่าประมาณ 5.51 แสนล้านบาท ลดลง 5.8% เมื่อเทียบกับปี 67 ที่มีมูลค่า 5.84 แสนล้านบาท 


แต่อย่างไรก็ตามสำหรับปีหน้าคาดการณ์สถานการณ์จะดีขึ้น ตามทิศทางของไตรมาสที่สี่ในปีนี้ ที่คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นมาได้


นายกมลภพ ระบุว่าช่วงปลายปีนี้มีปัจจัยหนุนต่อการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยจากการจัดทำมาตรการ “Quick Big Win” ของภาครัฐ เช่น มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศ ผ่านโครงการคนละครึ่ง พลัส มาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวภายในประเทศ  การเร่งรัดเบิกจ่ายภาครัฐ มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนผ่านการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) และการปรับโครงสร้างหนี้เสียภาคครัวเรือน รวมถึงมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ และเศรษฐกิจโดยรวม ทำให้ประชาชนมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น


ส่วนในปีหน้า ปี 2569 ยังคงต้องรอติดตามดูภาวะเศรษฐกิจไทย ซึ่งมีผลต่อตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะปัจจัยทางการเมืองที่จะมีการยุบสภา และเลือกตั้งในปีต้นปี 69 จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและภาคธุรกิจอย่างไรบ้าง


อย่างไรก็ตาม REIC มองว่าการชะลอตัวของภาคที่อยู่อาศัยน่าจะใกล้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว หลังจากที่ตลาดเริ่มปรับเข้ากันระหว่างดีมานด์และซัพพลาย ซึ่งในส่วนของผู้ประกอบการก็ได้ทยอยการลดจำนวนการเปิดโครงการใหม่ลงไปมากแล้ว เพื่อให้สอดคล้องกับดีมานด์ในตลาด ประกอบกับความกังวลในเรื่องของฐานะการเงินของผู้ประกอบการดีขึ้น จะเห็นได้จากปัจจุบันไม่มีข่าวเกี่ยวกับความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ 


รวมไปถึงกลยุทธ์ของผู้ประกอบการแต่ละรายในการเตรียมตัวให้กับลูกค้าในการสร้างความมั่นใจให้กับสถาบันการเงินก็ทำได้ดีมากขึ้น ทำให้เป็นปัจจัยที่ส่งเสริมต่อเนื่อง ดังนั้นทางศูนย์จึงคาดว่าปีหน้าสถานการณ์จะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง คาดว่าจะมียอดการโอนกรรมสิทธิ์ติดลบน้อยลง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง