‘ฝนทิ้งช่วง แล้งสุดขั้ว’ สรุปสถานการณ์และทางออกประเทศไทย กับวิกฤตแล้ง 2567
ประเทศไทยเผชิญหน้ากับ ฤดูแล้ง ที่ยาวนานและหนักหน่วงขึ้นทุกปี .ในปี 2567 เป็นอีกหนึ่งปีที่ภัยแล้งสร้างความเสียหายให้กับภาคเกษตรกรรมและชุมชนในหลายพื้นที่ ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ของหน่วยงานและผู้เชี่ยวชาญ แนวโน้มสถานการณ์แล้งในอนาคตจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนต้องเร่งหามาตรการรับมืออย่างเป็นระบบและยั่งยืน
สถานการณ์ภัยแล้งในปัจจุบัน
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ระบุว่า ประเทศไทยจะสิ้นสุดฤดูแล้งปี 2566/67 ในปลายเดือนเมษายน 2567 โดยปริมาณน้ำในแหล่งน้ำทั่วประเทศอยู่ที่ 45,099 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 55% ของความจุ ซึ่งน้อยกว่าปีที่ผ่านมา 2% สาเหตุหลักมาจากปริมาณฝนที่ตกน้อยกว่าค่าเฉลี่ยจากปรากฎการณ์เอลนีโญ
แม้ว่าปริมาณน้ำจะยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่ยังคงต้องมีการสำรองน้ำไว้ใช้ในช่วงฤดูฝนเพื่อรับมือกับสภาวะฝนทิ้งช่วงที่อาจเกิดขึ้นได้ ขณะที่อ่างเก็บน้ำหลายแห่ง เช่น เขื่อนสิริกิติ์, เขื่อนกระเสียว, เขื่อนคลองสียัด เผชิญภาวะน้ำน้อย ชาวบ้านและเกษตรกรในหลายพื้นที่เริ่มได้รับผลกระทบ ต้องซื้อน้ำราคาแพง บางจังหวัดถูกประกาศเป็นเขตให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) รวมแล้ว 4 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี ชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และบุรีรัมย์
นอกจากนี้ ปัญหาไฟป่า, PM 2.5 และการลักลอบเผาในพื้นที่ป่าเป็นอีกประเด็นที่ทวีความรุนแรง มีผู้กระทำผิดลักลอบเผาป่าและล่าสัตว์รวม 140 คน เจ้าหน้าที่บาดเจ็บจากการปฏิบัติงานดับไฟป่าถึง 13 นาย
แนวโน้มและการรับมือวิกฤตภัยแล้ง
กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า ปริมาณฝนจะเริ่มเพิ่มขึ้นในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป แต่อาจมีโอกาสเกิดสภาวะฝนทิ้งช่วงในช่วงฤดูฝน ขณะที่ปรากฎการณ์เอลนีโญและลานีญาที่เกิดขึ้นสลับกันอาจส่งผลให้ประเทศไทยประสบทั้งภัยแล้งและอุทกภัยรุนแรงบ่อยครั้งขึ้น ดังนั้นการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง
หน่วยงานต่างๆ เร่งระดมกำลังและวางมาตรการรับมือวิกฤตภัยแล้งทั้งระยะสั้นและยาว อาทิ การกระจายน้ำไปพื้นที่ขาดแคลน การขอความร่วมมือชะลอการทำนาปรังหรือปลูกพืชใช้น้ำน้อยทดแทน ผันน้ำจากเขื่อนและแม่น้ำสายหลัก รวมถึงการทำฝนเทียมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้พื้นที่ป่า ฟื้นฟูผืนป่าและสร้างฝายชะลอน้ำ จัดสรรน้ำอย่างสมดุลและเป็นธรรม ตลอดจนพัฒนาระบบชลประทานและบำบัดน้ำเสียเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ ให้ความรู้ประชาชนเรื่องการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพควบคู่ไปด้วย
นาข้าว 20 ไร่ วิกฤตขาดน้ำ 50 วัน เกษตรกรหวั่นสูญเสียผลผลิต
นาข้าวอายุกว่า 50 วันบนพื้นที่กว่า 20 ไร่ของเกษตรกรในตำบลมารวิชัย อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กำลังเผชิญวิกฤตขาดแคลนน้ำมานานกว่า 10 วัน ทำให้ผืนดินแตกระแหงและต้นข้าวขาดความชื้น ส่งผลกระทบต่อผลผลิตข้าวนาปรังรอบ 2 ซึ่งมีกำหนดเก็บเกี่ยวในช่วงกลางปีนี้ เกษตรกรจำต้องทำใจยอมรับสถานการณ์ที่อาจได้เพียงเงินลงทุนคืน
ตัวแทนสภาเกษตรกรทำนาเสนา เปิดเผยว่าได้ประสานขอความช่วยเหลือจากกรมชลประทานในพื้นที่อย่างเร่งด่วน แต่ยังไม่มีความคืบหน้า พร้อมตั้งข้อสังเกตถึงปัญหาการประสานงานระหว่างกรมชลประทานในแต่ละเขตพื้นที่ ปัจจุบันเกษตรกรต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการติดตั้งเครื่องสูบน้ำเป็นจุดๆ เพื่อรอน้ำที่จะถูกปล่อยลงมายังคลองสาย 4 นอกจากนี้ยังมีอีก 3 คลองที่ประสบปัญหาในลักษณะเดียวกัน
สถานการณ์ครั้งนี้นับเป็นวิกฤตที่หนักที่สุดในรอบ 5 ปี สาเหตุหลักมาจากคลองสาย 4 ที่แห้งขอดมาเป็นเวลาหลายสัปดาห์ โดยระดับน้ำเริ่มลดลงตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนและแห้งจนไม่สามารถสูบขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้ ภัยแล้งครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรในพื้นที่อำเภอเสนาที่จำเป็นต้องใช้น้ำในการเพาะปลูกข้าว ครอบคลุมพื้นที่นากว่า 56,000 ไร่ ในขณะที่ต้นทุนการทำนาในปัจจุบันอยู่ที่ 5,000-6,000 บาทต่อไร่
ไทยรับมือ "ลานีญา" จับตาฝนทิ้งช่วง ปริมาณน้ำฝนทั้งปีต่ำกว่าค่าเฉลี่ย
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับสภาวะ "เอลนีโญ" ที่ทำให้อากาศร้อนถึงร้อนจัด โดยเฉพาะในเดือนเมษายนที่อุณหภูมิอาจทำลายสถิติความร้อนสูงสุดเดิมได้ อย่างไรก็ตาม ในอนาคตอันใกล้ ภาวะ "ลานีญา" จะเข้ามาแทนที่ ส่งผลให้มีฝนตกชุก และบางพื้นที่อาจเกิดน้ำท่วม แต่สิ่งที่ต้องจับตามองคือ "ช่วงเปลี่ยนผ่าน" ระหว่างสองสภาวะนี้ ที่อาจนำมาซึ่งฝนทิ้งช่วง ซึ่งจะกระทบต่อการเกษตรและวิถีชีวิตของผู้คน
ว่าที่ร้อยตรี ธนะสิทธิ์ เอี่ยมอนันชัย รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ให้ความเห็นว่า เดือนเมษายนนี้จะร้อนที่สุด และแม้จะมีปัจจัยอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดฝน แต่ก็จะเป็นเพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้น ทั้งนี้ อากาศร้อนจัดอาจยาวไปจนถึงต้นเดือนพฤษภาคม ก่อนที่ฝนจะเริ่มตกในหลายพื้นที่
สำหรับช่วงเวลาที่คาดว่าจะเกิดฝนทิ้งช่วง จะอยู่ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนถึงกลางเดือนกรกฎาคม โดยฝนจะตกน้อยลง อย่างไรก็ตาม คาดว่าปีนี้ระยะเวลาฝนทิ้งช่วงจะอยู่ในเกณฑ์ปกติที่ราว 2-3 สัปดาห์ ก่อนที่ภาวะ "ลานีญา" จะเข้ามาในช่วงปลายฤดูฝน ซึ่งจะทำให้มีฝนเพิ่มขึ้น แต่ปริมาณน้ำฝนตลอดทั้งปีก็ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยราว 5-10%
นอกจากนี้ ยังต้องระมัดระวังเรื่องอากาศที่ร้อนจัดในเดือนเมษายน ซึ่งอาจทำลายสถิติอุณหภูมิสูงสุดเดิมได้ ส่วนในช่วงเดือนสิงหาคมและกันยายน อาจมีพายุเคลื่อนตัวเข้ามาในประเทศไทยประมาณ 2-3 ลูก ซึ่งจะเป็นปัจจัยทำให้เกิดฝนตกหนัก กรมอุตุนิยมวิทยาจึงจับตาดูช่วงเวลาดังกล่าวเป็นพิเศษ เพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น
แนวโน้ม วิกฤตภัยแล้ง ปี 2567
ปี 2567 ประเทศไทยยังคงเผชิญกับภัยแล้งที่ทวีความรุนแรง ทั้งจากปริมาณฝนที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย และผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญาที่เกิดขึ้นสลับกัน แม้ปริมาณน้ำในแหล่งน้ำจะอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่หลายพื้นที่ก็ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรและชุมชน นอกจากนี้ยังมีปัญหาไฟป่า PM 2.5 และการลักลอบเผาป่าที่ทวีความรุนแรงด้วย ทั้งนี้ คาดว่าปริมาณฝนจะเพิ่มขึ้นในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม แต่อาจมีสภาวะฝนทิ้งช่วงในช่วงฤดูฝน จึงต้องมีการบริหารจัดการน้ำที่ดี เพื่อรับมือกับความผันผวนของสภาพอากาศที่อาจส่งผลให้เกิดทั้งภัยแล้งและอุทกภัยในอนาคต
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องร่วมมือกันอย่างเร่งด่วนในการกำหนดมาตรการรับมือวิกฤตภัยแล้งทั้งระยะสั้นและยาว ทั้งการกระจายและสำรองน้ำ ขอความร่วมมือจากเกษตรกร ผันน้ำจากแหล่งน้ำสำคัญ ทำฝนเทียม ฟื้นฟูป่าและระบบนิเวศ พัฒนาแหล่งน้ำและระบบชลประทาน บำบัดน้ำเสียเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ รวมถึงส่งเสริมให้ประชาชนใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า ทุกภาคส่วนต้องตระหนักถึงความสำคัญของการรับมือภัยแล้งอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อลดผลกระทบและสร้างความมั่นคงให้กับประเทศในระยะยาว