หาดใหญ่ท่วม 300 ปี จุดเปลี่ยนใหญ่ระบบน้ำสงขลา–ไทยต้องเร่งปฏิรูป

มหาอุทกภัยหาดใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์กำลังกลายเป็น “จุดเปลี่ยน” ด้านการบริหารจัดการน้ำของจังหวัดสงขลาและประเทศไทยทั้งระบบ หลังฝนตกหนักในช่วงวันที่ 19–21 พฤศจิกายน 2568 ทำให้ตัวเมืองหาดใหญ่และพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญจมน้ำสูง 2–4 เมตร ประชาชนกว่าแสนครัวเรือนได้รับผลกระทบ หน่วยงานด้านน้ำยืนยันว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นฝนระดับรุนแรงที่สุดในรอบราว 300 ปี ขณะที่หลายฝ่ายตั้งคำถามไปพร้อมกันว่า เมืองใหญ่ที่เคยมีบทเรียนจากปี 2553 เหตุใดจึงยังเผชิญน้ำท่วมยกเมืองซ้ำอีกครั้งในระดับรุนแรงกว่าเดิม
จุดเริ่มต้นของวิกฤตครั้งนี้เกิดจากฝนที่ตกต่อเนื่องแบบ “ฝนแช่” ตลอดสามวัน โดยวันที่ 21 พฤศจิกายน ที่อำเภอหาดใหญ่มีปริมาณฝนใน 24 ชั่วโมงถึง 335 มิลลิเมตร เมื่อรวมฝนสะสมวันที่ 19–21 พฤศจิกายน อยู่ที่ประมาณ 630 มิลลิเมตร สูงกว่าน้ำท่วมใหญ่ปี 2553 อย่างชัดเจน ปรากฏการณ์นี้สัมพันธ์กับร่องมรสุมและหย่อมความกดอากาศต่ำที่ปกคลุมภาคใต้ตอนล่าง ซึ่งได้รับแรงเสริมจากภาวะลานีญา ทำให้เมฆฝนปกคลุมพื้นที่ยาวนานผิดปกติ ระบบระบายน้ำทุกระดับตั้งแต่ภูเขาถึงปลายน้ำถูกกดดันเกินขีดความสามารถในเวลาอันสั้น
เมื่อฝนตกหนักบนเทือกเขาน้ำค้าง สันกาลาคีรี และพื้นที่ต้นน้ำในอำเภอสะเดา นาหม่อม และเขาคอหงส์ มวลน้ำจำนวนมากเริ่มไหลบ่าลงสู่ลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภาอย่างรวดเร็ว หาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ลักษณะคล้ายอ่างกะทะจึงกลายเป็นจุดรับน้ำหลัก ขณะเดียวกันระดับน้ำในทะเลสาบสงขลาที่อยู่ปลายน้ำก็สูงจากการหนุนน้ำ ทำให้การระบายน้ำลงสู่ทะเลสาบทำได้ช้าลงอย่างมาก ช่วงวันที่ 22–23 พฤศจิกายน ระดับน้ำในคลองอู่ตะเภาขึ้นสูงเกินตลิ่งมากกว่า 2 เมตร ก่อนขยายวงท่วมพื้นที่ชุมชนและเขตเศรษฐกิจทั้งเมือง
ตลอดวันที่ 24–25 พฤศจิกายน พื้นที่เศรษฐกิจใจกลางหาดใหญ่หลายจุดมีน้ำท่วมสูงกว่า 3 เมตร บ้านเรือนถูกตัดขาด ถนนสายหลักแปลงสภาพเป็นลำคลองชั่วคราว ไฟฟ้าและน้ำประปาในบางพื้นที่หยุดจ่ายเพื่อความปลอดภัย โรงพยาบาลต้องเตรียมแผนเคลื่อนย้ายผู้ป่วยวิกฤตโดยเฮลิคอปเตอร์ ข้อมูลเบื้องต้นระบุว่ามีผู้เสียชีวิตมากกว่า 30 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง และประชาชนที่หนีน้ำไม่ทัน ขณะที่ครัวเรือนและธุรกิจในเขตเมืองและรอบนอกได้รับผลกระทบรวมกันนับแสนครัวเรือน
แม้ในวันที่ 26 พฤศจิกายน สถานีวัดน้ำคลองอู่ตะเภารายงานระดับน้ำลดลงจากจุดสูงสุดราว 1 เมตร แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังประเมินสถานการณ์ให้อยู่ในขั้นวิกฤต ระดับน้ำในหลายชุมชนยังสูงตั้งแต่ระดับเข่าไปจนถึงเกือบหลังคา อย่างไรก็ตาม กรมชลประทานคาดการณ์ว่าหากไม่มีฝนชุดใหม่ลงซ้ำในลุ่มน้ำเดียวกัน เช้าวันที่ 27 พฤศจิกายน ระดับน้ำในคลองจะกลับมาใกล้ระดับตลิ่ง และมีแนวโน้มต่ำกว่าระดับปากท่อระบายน้ำในช่วงวันที่ 28 พฤศจิกายนเป็นต้นไป ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำเร่งระบายออกสู่ทะเลสาบและอ่าวไทยได้เต็มศักยภาพ
เมื่อมองไปข้างหน้า ภาพรวมการคลี่คลายสถานการณ์แบ่งได้เป็นหลายระยะ เขตเมืองและย่านเศรษฐกิจหลักซึ่งอยู่ในพื้นที่ค่อนข้างสูงมีโอกาสกลับสู่ภาวะใกล้ปกติภายในราว 7–10 วันหลังจากระดับน้ำเริ่มลดลงต่อเนื่อง ขณะที่ชุมชนในที่ลุ่มต่ำติดคลองและรอบนอกเมืองอาจต้องใช้เวลานานกว่านั้น บางพื้นที่คาดว่าต้องอยู่กับน้ำท่วมต่อไปอย่างน้อย 10–14 วัน จนกว่าระดับน้ำในทะเลสาบสงขลาจะลดลงมากพอให้ระบายน้ำค้างในลุ่มน้ำออกได้ทั้งหมด
เหตุการณ์ครั้งนี้เผยให้เห็นข้อจำกัดเชิงโครงสร้างของระบบระบายน้ำหาดใหญ่อย่างชัดเจน คลองระบายน้ำหลักอย่างคลอง R.1 และคลองอู่ตะเภามีกำลังระบายน้ำจำกัด เมื่อเทียบกับมวลน้ำฝนรุนแรงระดับหลายร้อยมิลลิเมตรในเวลาไม่กี่วัน นักวิชาการด้านน้ำชี้ว่าคลอง R.1 ในปัจจุบันรองรับน้ำได้เพียงราวหนึ่งพันกว่าลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ในขณะที่เหตุการณ์ครั้งนี้มีปริมาณน้ำสูงสุดแตะใกล้สองพันลูกบาศก์เมตรต่อวินาที นั่นหมายถึงระยะห่างระหว่าง “สิ่งที่ระบบออกแบบไว้” กับ “สิ่งที่เกิดขึ้นจริง” กว้างขึ้นอย่างน่ากังวลในยุคภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง
อีกด้านหนึ่ง การขยายตัวของเมืองที่กินพื้นที่ลุ่มต่ำและคลองธรรมชาติยิ่งทำให้สถานการณ์ล่อแหลมมากขึ้น พื้นที่ชุ่มน้ำและทุ่งรับน้ำที่เคยทำหน้าที่หน่วงน้ำถูกแทนที่ด้วยสิ่งปลูกสร้าง ถนน และนิคมพาณิชยกรรม เมื่อฝนตกลงมาหนัก น้ำจึงไม่มีที่ให้แผ่กระจายและซึมลงดิน ต้องไหลลงสู่คลองและท่อระบายน้ำขนาดจำกัดเท่านั้น จนเกิดภาพน้ำท่วมรุนแรงในย่านเศรษฐกิจทุกครั้งที่เกิดฝนระดับเกินค่ามาตรฐานเดิม
คำถามสำคัญหลังน้ำลดคืออนาคตการบริหารจัดการน้ำของสงขลาจะเดินไปในทิศทางใด แนวทางที่ถูกพูดถึงมากขึ้นคือการยกระดับโครงสร้างระบายน้ำทั้งลุ่มน้ำ ไม่ใช่เฉพาะขุดลอกคลองในช่วงก่อนฤดูฝนเหมือนที่ผ่านมา แต่ต้องวางแผนขยายหน้าตัดคลอง R.1 และคลองอู่ตะเภาอย่างเป็นระบบ เพิ่มศักยภาพการระบายน้ำให้รองรับเหตุการณ์ฝนหนักระดับ 100–300 ปี ซึ่งอาจต้องใช้งบประมาณระดับหลายพันล้านบาทควบคู่กับการปรับปรุงคันคลองและจุดคอขวดต่างๆ
ควบคู่กันนั้น นักวิชาการด้านน้ำเสนอให้สงขลามี “พื้นที่หน่วงน้ำ” เพิ่มขึ้นทั้งในต้นน้ำ กลางน้ำ และพื้นที่รอบทะเลสาบสงขลา เพื่อรับน้ำในช่วงที่มวลน้ำไหลลงมาพร้อมกัน แล้วทยอยปล่อยลงสู่คลองและทะเลในจังหวะที่ปลายน้ำรับได้ การฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำ การสงวนทุ่งรับน้ำไม่ให้ถูกถมสร้าง และการออกแบบเมืองให้สามารถเปลี่ยนฟังก์ชันบางส่วนเป็นพื้นที่เก็บน้ำชั่วคราวในช่วงวิกฤต ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือจำเป็นในยุคที่เมืองใหญ่ต้องเรียนรู้การอยู่กับน้ำมากกว่าพยายามกันน้ำออกไปทั้งหมด
มิติผังเมืองก็เป็นประเด็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หาดใหญ่และท้องถิ่นรอบข้างจำเป็นต้องทบทวนผังเมืองใหม่โดยมองเรื่องน้ำท่วมเป็นเงื่อนไขตั้งต้น การอนุมัติโครงการขนาดใหญ่ โซนอุตสาหกรรม และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์บนพื้นที่ลุ่มต่ำควรถูกประเมินความเสี่ยงด้านน้ำอย่างเข้มข้นกว่าเดิม แนวคิดเมืองที่อยู่กับน้ำ เช่น การยกระดับถนนบางสาย การจัดให้มีพื้นที่สาธารณะที่รองรับน้ำหลากชั่วคราว หรืออาคารที่ชั้นล่างออกแบบให้ทนทานต่อการท่วม ถูกคาดหวังให้ไม่ใช่เพียงตัวอย่างในเอกสาร แต่ต้องเกิดขึ้นจริงในระดับพื้นที่
อีกประเด็นที่ถูกจับตาคือระบบบริหารจัดการน้ำในระดับนโยบาย ประเทศไทยมีหน่วยงานด้านน้ำหลายหน่วย ทั้งกรมชลประทาน สทนช. หน่วยงานด้านอุตุนิยมวิทยา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นักวิชาการจำนวนหนึ่งมองว่าการมีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแต่ไม่มีแกนกลางที่ชัดเจนอาจทำให้การตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ล่าช้า เสียงเรียกร้องให้มี “ศูนย์บัญชาการน้ำ” ที่ทรงพลังและมีข้อมูลแบบเรียลไทม์รองรับกลับมาอีกครั้งหลังเหตุการณ์หาดใหญ่ปี 2568
ในมุมภาพรวมประเทศไทย มหาอุทกภัยหาดใหญ่ครั้งนี้กำลังถูกมองเป็น “สัญญาณเตือนล่วงหน้า” ของเมืองใหญ่อื่นที่ตั้งอยู่ในลุ่มน้ำสำคัญและพื้นที่ชายฝั่ง ทั้งในภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน งานวิจัยเรื่องฝนสุดขั้ว ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น และการทรุดตัวของแผ่นดินล้วนชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า ความถี่และความรุนแรงของน้ำท่วมกำลังเปลี่ยนไปจากอดีต ประเทศจึงจำเป็นต้องลงทุนทั้งในโครงสร้างพื้นฐาน ระบบเตือนภัย การวางผังเมือง และการสร้างวัฒนธรรมการเตรียมพร้อมของประชาชนไปพร้อมกัน
สำหรับชาวหาดใหญ่ วันนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูให้เมืองกลับมาลุกขึ้นยืนได้โดยเร็ว แต่ในเวลาเดียวกัน เหตุการณ์น้ำท่วมรอบ 300 ปีครั้งนี้ได้โยนคำถามไปยังผู้บริหารท้องถิ่นและรัฐบาลกลางว่า จะยอมให้วิกฤตใหญ่แบบนี้เกิดขึ้นซ้ำในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า หรือจะใช้โอกาสครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปการบริหารจัดการน้ำทั้งจังหวัดสงขลาและทั้งประเทศอย่างจริงจังในระยะยาว
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
