#โควิด-19 #TNN ช่อง16
รัฐบาลห่วงใยยอดโควิดยังพุ่งหลังสงกรานต์ ขอให้ประชาชนมั่นใจโรงพยาบาลทุกแห่งมีความพร้อมรับมือผู้ป่วยโควิด แนะใส่หน้ากากอนามัยในพื้นที่แออัด รีบตรวจ ATK หากมีอาการคล้ายหวัดน.ส.เกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข มีความห่วงใยต่อสถานการณ์ของโรคโควิด-19 เพิ่มสูงขึ้นหลังเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งปัจจุบันโรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ และเพื่อให้เกิดความมั่นใจ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้สั่งการให้ทุกจังหวัดประเมินสถานการณ์และเตรียมความพร้อม กำชับทุกหน่วยงานดูแลประชาชนอย่างทั่วถึง ข้อมูลจากกรมควบคุมโรครายงานว่า โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (วันที่ 14-20 เมษายน 2567) พบผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลจำนวน 1,004 ราย เฉลี่ย 143 รายต่อวัน มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้ โดยพบผู้ป่วยมากขึ้นในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยวหลายแห่ง และมีผู้ป่วยอาการรุนแรงปอดอักเสบ 292 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 101 ราย และเสียชีวิต 3 ราย โดยผู้เสียชีวิตทุกราย เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ หรือมีโรคเรื้อรัง (608) รัฐบาลอยากให้ประชาชนมั่นใจว่า โรงพยาบาลทุกแห่งมีความพร้อม ทั้งด้านบุคคลากร เตียงรองรับผู้ป่วยเวชภัณฑ์ ตลอดจนมีประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยเป็นอย่างดี แต่ในขณะเดียวกัน ก็ขอให้ประชาชนเน้นสุขอนามัยส่วนบุคคล โดยการสวมหน้ากากอนามัย เมื่ออยู่ในสถานที่แออัดที่มีการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก และจำเป็นต้องล้างมือบ่อย ๆ หากมีอาการคล้ายหวัด ควรทำการตรวจ ATK ที่บ้าน และหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับกลุ่มเสี่ยง 608 หากผลตรวจเป็นบวก 2 ขีด ให้สวมหน้ากากเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ และพบแพทย์โดยเร็วเมื่อมีอาการหายใจลำบาก ทั้งนี้ สำหรับกลุ่ม 608 คือกลุ่มผู้สูงอายุมีอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้มีโรคประจำตัวในกลุ่ม 7 โรคประจำตัว ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ หากมีอาการคล้ายหวัด และผลตรวจ ATK เป็นบวก 2 ขีด ควรสวมหน้ากากและรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษา เพื่อลดโอกาสในการเกิดอาการรุนแรง หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อสายด่วนของกรมควบคุมโรคได้ที่ 1422ข้อมูลจาก รัฐบาลไทยภาพจาก TNN ONLINE
อ่านต่อ >44
#โควิด-19 #TNN ช่อง16
นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เผยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (21-27 เม.ย.67) พบผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลจำนวน 1,672 ราย เฉลี่ย 239 รายต่อวัน ผู้ป่วยปอดอักเสบ 390 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 148 ราย และมีผู้เสียชีวิต 9 ราย เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากสัปดาห์ก่อนตามที่เคยคาดการณ์ไว้ เนื่องจากโรคโควิด-19 กลายเป็นโรคประจำถิ่น สามารถพบผู้ป่วยได้ตลอดทั้งปี และยังเป็นโรคประจำฤดูกาล โดยจะพบผู้ป่วยมากขึ้นตั้งแต่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ต่อเนื่องจนถึงฤดูฝนที่กำลังจะถึงนี้ ประกอบกับเป็นช่วงเปิดเทอมด้วย ไม่ต่างจากโรคทางเดินหายใจอื่นๆ ทั้งไข้หวัดใหญ่ โรคติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี เป็นต้น แต่ความรุนแรงของโรคโควิด-19 ลดลงอย่างมาก จากการวิเคราะห์ข้อมูลติดตามย้อนหลังในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาพบว่าอัตราป่วยตายของโรคโควิด-19 ลดลงจาก 0.98% (ปี 2563-2564) เป็น 0.04% (ปี 2567) ซึ่งใกล้เคียงกับไข้หวัดใหญ่ และต่ำกว่าไข้เลือดออกเนื่องจากปัจจุบันมีองค์ความรู้เกี่ยวกับโรคนี้มากขึ้น มีการตรวจวินิจฉัยที่ดีขึ้น มียารักษาทั้งยาแผนปัจจุบันและยาสมุนไพรต่างๆ รวมทั้งมีวัคซีนป้องกันโรค ประกอบกับสายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ขณะนี้เป็นสายพันธุ์ย่อยของ XBB.1 ซึ่งเป็นลูกหลานของโอมิครอน อาการไม่รุนแรง เป็นเหมือนหวัดธรรมดาทั่วไป ซึ่งจุดนี้เองอาจทำให้ประชาชนไม่ได้ระวังจึงแพร่เชื้อต่อกันได้ง่าย สิ่งสำคัญคือต้องระมัดระวังไม่นำเชื้อไปสู่กลุ่มเสี่ยง ซึ่งจากข้อมูลผู้เสียชีวิตทุกรายยังพบว่าเป็นกลุ่ม 608 โดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือมีโรคประจำตัวเรื้อรังดังนั้น ขอให้ประชาชนมีความตระหนักแต่ไม่ตระหนก โดยประชาชนทั่วไปควรเน้นสุขอนามัยส่วนบุคคล สวมหน้ากากอนามัย เมื่ออยู่ในสถานที่แออัด หรือที่ที่มีการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก เช่น ในการเดินทางสาธารณะ ที่โรงพยาบาล และสถานที่ดูแลผู้สูงอายุ และหมั่นล้างมือบ่อยๆ หากมีอาการคล้ายหวัด ควรทำการตรวจ ATK และหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับกลุ่มเสี่ยง 608 หากผลตรวจเป็นบวก 2 ขีด ให้สวมหน้ากากเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อและพบแพทย์โดยเร็วเมื่อมีอาการหายใจลำบากหรืออื่นๆ เพื่อป้องกันการนำเชื้อไปแพร่สู่กลุ่มเปราะบางในบ้าน สำหรับกลุ่ม 608 หากมีอาการคล้ายหวัด และผลตรวจ ATK เป็นบวก 2 ขีด ควรสวมหน้ากากและรีบพบแพทย์ เพื่อรับการรักษา เพื่อลดโอกาสในการเกิดอาการรุนแรง
อ่านต่อ >36
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
จังหวัดลำปาง เผชิญกับอากาศร้อนจัด อุณหภูมิเฉลี่ย 40 – 44 องศาเซลเซียส ติดต่อกันนานถึง 17 วัน โดยเฉพาะช่วงในช่วงเที่ยงและบ่ายที่แสงแดดส่องลงมาเต็มที่ ทำให้เกิดร้อนไปทั่วบริเวณ ล่าสุดเมื่อวานนี้ (27 เม.ย.) ร้อนสุดในจังหวัด วัดได้ที่สถานีอุตุนิยมวิทยาเถิน อำเภอเถิน 43.6 องศาฯ รอลงมาที่ตัวเมืองลำปาง 43.5 องศาฯ อำเภอห้างฉัตร 42 องศาฯ ถือว่าร้อนระอุไปทั่วทั้งจังหวัด ในปีนี้นับเป็นครั้งแรกของอำเมืองลำปาง ที่อุณหภูมิขึ้นไปแตะระดับ 43.5 องศาฯ ทุบทำลายสถิติเดิมในปี 2566 ที่เคยร้อนสุด 42.8 องศาฯ ชาวลำปางบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ปีนี้อำเภอเมือง และตัวเมืองลำปาง ร้อนจัดต่อเนื่องแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ส่วนพื้นที่อำเภอเถิน ยังเป็นแชมป์พื้นที่ร้อนที่สุดด้วยอุณหภูมิที่ร้อนทะลุไปถึง 44.2 องศาฯ เมื่อวันที่ 22 เมษายน ร้อนสุดในรอบ 5 ปี (เท่ากับ) เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2562 ที่เคยร้อนสุดในประเทศไทยในปีนั้น แต่ยังไม่ทำลายสถิติสูงสุดในประเทศไทยที่อำเภอเมือง จังหวัดตาก เคยร้อนสุด 44.6 องศาฯ เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2566 ส่วนที่จังหวัดบุรีรัมย์ อากาศร้อนจัดต่อเนื่องเช่นกัน เทศบาลเมืองบุรีรัมย์ส่งเจ้าหน้าที่งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นำรถบรรทุกน้ำ 3 คัน ออกบริการฉีดพรมน้ำบนถนนทุกสายในเขตเทศบาล โดยเน้นแหล่งชุมชน เพื่อเป็นการลดไอความร้อนจากพื้นผิวถนน ลดผลกระทบให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะช่วงบ่ายที่มีสภาพอากาศร้อนจัด อุณหภูมิเฉลี่ย 41-43 องศาฯ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการดำรงชีวิตของประชาชน ในแต่ละวันรถบรรทุกน้ำหมุนเวียนกันออกไปฉีดน้ำรดถนน วันละเกือบ 30 เที่ยว ชาวบ้านในพื้นที่ บอกว่า ปีนี้อากาศร้อนมากจนแทบไม่อยากออกจากบ้านไปไหน ขนาดนั่งอยู่ในบ้านก็ยังรู้สึกร้อนมาก เพราะไอความร้อนจากถนน แต่หลังจากทางเทศบาลได้นำรถบรรทุกน้ำมาฉีดพรมตามถนน ก็ช่วยบรรเทาความร้อนลงไปได้ระดับหนึ่ง อยากให้เทศบาลทำแบบนี้ไปจนกว่าจะสิ้นสุดฤดูร้อน ซึ่งปีนี้ถือว่าร้อนที่สุดในรอบ 20 ปี ภาพจาก: ผู้สื่อข่าวภูมิภาคจังหวัดลำปาง
อ่านต่อ >15
#TNN เจาะข่าว #TNN ช่อง16
ในยุคดิจิทัล เทคโนโลยีได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนอย่างมาก รวมถึงรูปแบบการทำธุรกรรมทางการเงินที่กำลังก้าวเข้าสู่ระบบดิจิทัลมากขึ้นเรื่อยๆ ภาครัฐได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ การริเริ่มโครงการเงินดิจิทัล เพื่อวางรากฐานการใช้เทคโนโลยีทางการเงิน และเชื่อมประชาชนทุกระดับ โดยเฉพาะชาวบ้าน ให้สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้ได้อย่างทั่วถึง เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมไร้เงินสดในอนาคตการวางรากฐานเทคโนโลยีเงินดิจิทัลการวางรากฐานเทคโนโลยีเงินดิจิทัลเป็นขั้นตอนสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการนี้ ซึ่งประกอบด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันสำหรับทำธุรกรรมทางการเงินในรูปแบบดิจิทัลที่เชื่อมต่อกับบัตรประชาชน หรือสร้างกระเป๋าเงินดิจิทัล นอกจากนี้ยังต้องสร้างความร่วมมือกับสถาบันการเงินและผู้ให้บริการชำระเงิน เพื่อเชื่อมโยงระบบให้สามารถรองรับการใช้เงินดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งพัฒนาระบบความปลอดภัยและมาตรฐานการใช้งาน เพื่อสร้างความมั่นใจและความน่าเชื่อถือในการใช้เงินดิจิทัล และปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ให้สอดรับกับการใช้งานเงินดิจิทัล และป้องกันการใช้ในทางที่ผิด"ทางรัฐ" ซูเปอร์แอปแห่งอนาคตนาง ไอรดา เหลืองวิไล รองผอ.(รักษาการผอ. )สำนักงานพัฒนาดิจิทัล(องค์การมหาชน) หรือ DGA เผยว่า แอป "ทางรัฐ" เป็นซูเปอร์แอปที่รวบรวมบริการสำคัญของหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ให้ประชาชนสามารถค้นหาข้อมูลของตัวเอง "รู้-ยื่น-จ่าย-รับ" ได้ในแอปเดียว เกิดจากความร่วมมือของ DGA และสำนักงาน ก.พ.ร. เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 ปัจจุบันมีบริการจาก 74 หน่วยงานครอบคลุม 149 บริการ โดยบริการที่ประชาชนสนใจใช้งานมากที่สุด ได้แก่ เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด ใบขับขี่ ใบสั่ง ประกันสังคม เงินสมทบชราภาพ และเบี้ยผู้สูงอายุDGA Thailand นอกจากนี้ นาง ไอรดา ยังกล่าวว่า แอป "ทางรัฐ" ได้รับนโยบายจากรัฐบาลให้ต่อยอดเป็นแอปที่รองรับการลงทะเบียนรับสิทธิ์เงินดิจิทัลวอลเล็ท 10,000 บาท และซอฟพาวเวอร์ได้ด้วย เนื่องจากแอปนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้เป็นซูเปอร์แอปสำหรับประชาชนอยู่แล้ว จึงสามารถตอบโจทย์นโยบายของรัฐบาลได้ โดยประชาชนสามารถดาวน์โหลดแอป "ทางรัฐ" ได้ทั้งระบบไอโฟนและแอนดรอยด์ พร้อมทั้งยืนยันตัวตนผ่านแอป หรือใช้บริการยืนยันตัวตนที่เคาน์เตอร์เซอร์วิส 7-11 ตู้บุญเติม ห
อ่านต่อ >59
#โควิด-19 #TNN ช่อง16
รัฐบาลห่วงใยยอดโควิดยังพุ่งหลังสงกรานต์ ขอให้ประชาชนมั่นใจโรงพยาบาลทุกแห่งมีความพร้อมรับมือผู้ป่วยโควิด แนะใส่หน้ากากอนามัยในพื้นที่แออัด รีบตรวจ ATK หากมีอาการคล้ายหวัดน.ส.เกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข มีความห่วงใยต่อสถานการณ์ของโรคโควิด-19 เพิ่มสูงขึ้นหลังเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งปัจจุบันโรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ และเพื่อให้เกิดความมั่นใจ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้สั่งการให้ทุกจังหวัดประเมินสถานการณ์และเตรียมความพร้อม กำชับทุกหน่วยงานดูแลประชาชนอย่างทั่วถึง ข้อมูลจากกรมควบคุมโรครายงานว่า โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (วันที่ 14-20 เมษายน 2567) พบผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลจำนวน 1,004 ราย เฉลี่ย 143 รายต่อวัน มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้ โดยพบผู้ป่วยมากขึ้นในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยวหลายแห่ง และมีผู้ป่วยอาการรุนแรงปอดอักเสบ 292 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 101 ราย และเสียชีวิต 3 ราย โดยผู้เสียชีวิตทุกราย เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ หรือมีโรคเรื้อรัง (608) รัฐบาลอยากให้ประชาชนมั่นใจว่า โรงพยาบาลทุกแห่งมีความพร้อม ทั้งด้านบุคคลากร เตียงรองรับผู้ป่วยเวชภัณฑ์ ตลอดจนมีประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยเป็นอย่างดี แต่ในขณะเดียวกัน ก็ขอให้ประชาชนเน้นสุขอนามัยส่วนบุคคล โดยการสวมหน้ากากอนามัย เมื่ออยู่ในสถานที่แออัดที่มีการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก และจำเป็นต้องล้างมือบ่อย ๆ หากมีอาการคล้ายหวัด ควรทำการตรวจ ATK ที่บ้าน และหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับกลุ่มเสี่ยง 608 หากผลตรวจเป็นบวก 2 ขีด ให้สวมหน้ากากเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ และพบแพทย์โดยเร็วเมื่อมีอาการหายใจลำบาก ทั้งนี้ สำหรับกลุ่ม 608 คือกลุ่มผู้สูงอายุมีอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้มีโรคประจำตัวในกลุ่ม 7 โรคประจำตัว ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ หากมีอาการคล้ายหวัด และผลตรวจ ATK เป็นบวก 2 ขีด ควรสวมหน้ากากและรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษา เพื่อลดโอกาสในการเกิดอาการรุนแรง หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อสายด่วนของกรมควบคุมโรคได้ที่ 1422ข้อมูลจาก รัฐบาลไทยภาพจาก TNN ONLINE
อ่านต่อ >44
#โควิด-19 #TNN ช่อง16
นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เผยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (21-27 เม.ย.67) พบผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลจำนวน 1,672 ราย เฉลี่ย 239 รายต่อวัน ผู้ป่วยปอดอักเสบ 390 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 148 ราย และมีผู้เสียชีวิต 9 ราย เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากสัปดาห์ก่อนตามที่เคยคาดการณ์ไว้ เนื่องจากโรคโควิด-19 กลายเป็นโรคประจำถิ่น สามารถพบผู้ป่วยได้ตลอดทั้งปี และยังเป็นโรคประจำฤดูกาล โดยจะพบผู้ป่วยมากขึ้นตั้งแต่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ต่อเนื่องจนถึงฤดูฝนที่กำลังจะถึงนี้ ประกอบกับเป็นช่วงเปิดเทอมด้วย ไม่ต่างจากโรคทางเดินหายใจอื่นๆ ทั้งไข้หวัดใหญ่ โรคติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี เป็นต้น แต่ความรุนแรงของโรคโควิด-19 ลดลงอย่างมาก จากการวิเคราะห์ข้อมูลติดตามย้อนหลังในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาพบว่าอัตราป่วยตายของโรคโควิด-19 ลดลงจาก 0.98% (ปี 2563-2564) เป็น 0.04% (ปี 2567) ซึ่งใกล้เคียงกับไข้หวัดใหญ่ และต่ำกว่าไข้เลือดออกเนื่องจากปัจจุบันมีองค์ความรู้เกี่ยวกับโรคนี้มากขึ้น มีการตรวจวินิจฉัยที่ดีขึ้น มียารักษาทั้งยาแผนปัจจุบันและยาสมุนไพรต่างๆ รวมทั้งมีวัคซีนป้องกันโรค ประกอบกับสายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ขณะนี้เป็นสายพันธุ์ย่อยของ XBB.1 ซึ่งเป็นลูกหลานของโอมิครอน อาการไม่รุนแรง เป็นเหมือนหวัดธรรมดาทั่วไป ซึ่งจุดนี้เองอาจทำให้ประชาชนไม่ได้ระวังจึงแพร่เชื้อต่อกันได้ง่าย สิ่งสำคัญคือต้องระมัดระวังไม่นำเชื้อไปสู่กลุ่มเสี่ยง ซึ่งจากข้อมูลผู้เสียชีวิตทุกรายยังพบว่าเป็นกลุ่ม 608 โดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือมีโรคประจำตัวเรื้อรังดังนั้น ขอให้ประชาชนมีความตระหนักแต่ไม่ตระหนก โดยประชาชนทั่วไปควรเน้นสุขอนามัยส่วนบุคคล สวมหน้ากากอนามัย เมื่ออยู่ในสถานที่แออัด หรือที่ที่มีการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก เช่น ในการเดินทางสาธารณะ ที่โรงพยาบาล และสถานที่ดูแลผู้สูงอายุ และหมั่นล้างมือบ่อยๆ หากมีอาการคล้ายหวัด ควรทำการตรวจ ATK และหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับกลุ่มเสี่ยง 608 หากผลตรวจเป็นบวก 2 ขีด ให้สวมหน้ากากเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อและพบแพทย์โดยเร็วเมื่อมีอาการหายใจลำบากหรืออื่นๆ เพื่อป้องกันการนำเชื้อไปแพร่สู่กลุ่มเปราะบางในบ้าน สำหรับกลุ่ม 608 หากมีอาการคล้ายหวัด และผลตรวจ ATK เป็นบวก 2 ขีด ควรสวมหน้ากากและรีบพบแพทย์ เพื่อรับการรักษา เพื่อลดโอกาสในการเกิดอาการรุนแรง
อ่านต่อ >36
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
จังหวัดลำปาง เผชิญกับอากาศร้อนจัด อุณหภูมิเฉลี่ย 40 – 44 องศาเซลเซียส ติดต่อกันนานถึง 17 วัน โดยเฉพาะช่วงในช่วงเที่ยงและบ่ายที่แสงแดดส่องลงมาเต็มที่ ทำให้เกิดร้อนไปทั่วบริเวณ ล่าสุดเมื่อวานนี้ (27 เม.ย.) ร้อนสุดในจังหวัด วัดได้ที่สถานีอุตุนิยมวิทยาเถิน อำเภอเถิน 43.6 องศาฯ รอลงมาที่ตัวเมืองลำปาง 43.5 องศาฯ อำเภอห้างฉัตร 42 องศาฯ ถือว่าร้อนระอุไปทั่วทั้งจังหวัด ในปีนี้นับเป็นครั้งแรกของอำเมืองลำปาง ที่อุณหภูมิขึ้นไปแตะระดับ 43.5 องศาฯ ทุบทำลายสถิติเดิมในปี 2566 ที่เคยร้อนสุด 42.8 องศาฯ ชาวลำปางบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ปีนี้อำเภอเมือง และตัวเมืองลำปาง ร้อนจัดต่อเนื่องแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ส่วนพื้นที่อำเภอเถิน ยังเป็นแชมป์พื้นที่ร้อนที่สุดด้วยอุณหภูมิที่ร้อนทะลุไปถึง 44.2 องศาฯ เมื่อวันที่ 22 เมษายน ร้อนสุดในรอบ 5 ปี (เท่ากับ) เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2562 ที่เคยร้อนสุดในประเทศไทยในปีนั้น แต่ยังไม่ทำลายสถิติสูงสุดในประเทศไทยที่อำเภอเมือง จังหวัดตาก เคยร้อนสุด 44.6 องศาฯ เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2566 ส่วนที่จังหวัดบุรีรัมย์ อากาศร้อนจัดต่อเนื่องเช่นกัน เทศบาลเมืองบุรีรัมย์ส่งเจ้าหน้าที่งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นำรถบรรทุกน้ำ 3 คัน ออกบริการฉีดพรมน้ำบนถนนทุกสายในเขตเทศบาล โดยเน้นแหล่งชุมชน เพื่อเป็นการลดไอความร้อนจากพื้นผิวถนน ลดผลกระทบให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะช่วงบ่ายที่มีสภาพอากาศร้อนจัด อุณหภูมิเฉลี่ย 41-43 องศาฯ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการดำรงชีวิตของประชาชน ในแต่ละวันรถบรรทุกน้ำหมุนเวียนกันออกไปฉีดน้ำรดถนน วันละเกือบ 30 เที่ยว ชาวบ้านในพื้นที่ บอกว่า ปีนี้อากาศร้อนมากจนแทบไม่อยากออกจากบ้านไปไหน ขนาดนั่งอยู่ในบ้านก็ยังรู้สึกร้อนมาก เพราะไอความร้อนจากถนน แต่หลังจากทางเทศบาลได้นำรถบรรทุกน้ำมาฉีดพรมตามถนน ก็ช่วยบรรเทาความร้อนลงไปได้ระดับหนึ่ง อยากให้เทศบาลทำแบบนี้ไปจนกว่าจะสิ้นสุดฤดูร้อน ซึ่งปีนี้ถือว่าร้อนที่สุดในรอบ 20 ปี ภาพจาก: ผู้สื่อข่าวภูมิภาคจังหวัดลำปาง
อ่านต่อ >15
#TNN เจาะข่าว #TNN ช่อง16
ในยุคดิจิทัล เทคโนโลยีได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนอย่างมาก รวมถึงรูปแบบการทำธุรกรรมทางการเงินที่กำลังก้าวเข้าสู่ระบบดิจิทัลมากขึ้นเรื่อยๆ ภาครัฐได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ การริเริ่มโครงการเงินดิจิทัล เพื่อวางรากฐานการใช้เทคโนโลยีทางการเงิน และเชื่อมประชาชนทุกระดับ โดยเฉพาะชาวบ้าน ให้สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้ได้อย่างทั่วถึง เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมไร้เงินสดในอนาคตการวางรากฐานเทคโนโลยีเงินดิจิทัลการวางรากฐานเทคโนโลยีเงินดิจิทัลเป็นขั้นตอนสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการนี้ ซึ่งประกอบด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันสำหรับทำธุรกรรมทางการเงินในรูปแบบดิจิทัลที่เชื่อมต่อกับบัตรประชาชน หรือสร้างกระเป๋าเงินดิจิทัล นอกจากนี้ยังต้องสร้างความร่วมมือกับสถาบันการเงินและผู้ให้บริการชำระเงิน เพื่อเชื่อมโยงระบบให้สามารถรองรับการใช้เงินดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งพัฒนาระบบความปลอดภัยและมาตรฐานการใช้งาน เพื่อสร้างความมั่นใจและความน่าเชื่อถือในการใช้เงินดิจิทัล และปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ให้สอดรับกับการใช้งานเงินดิจิทัล และป้องกันการใช้ในทางที่ผิด"ทางรัฐ" ซูเปอร์แอปแห่งอนาคตนาง ไอรดา เหลืองวิไล รองผอ.(รักษาการผอ. )สำนักงานพัฒนาดิจิทัล(องค์การมหาชน) หรือ DGA เผยว่า แอป "ทางรัฐ" เป็นซูเปอร์แอปที่รวบรวมบริการสำคัญของหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ให้ประชาชนสามารถค้นหาข้อมูลของตัวเอง "รู้-ยื่น-จ่าย-รับ" ได้ในแอปเดียว เกิดจากความร่วมมือของ DGA และสำนักงาน ก.พ.ร. เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 ปัจจุบันมีบริการจาก 74 หน่วยงานครอบคลุม 149 บริการ โดยบริการที่ประชาชนสนใจใช้งานมากที่สุด ได้แก่ เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด ใบขับขี่ ใบสั่ง ประกันสังคม เงินสมทบชราภาพ และเบี้ยผู้สูงอายุDGA Thailand นอกจากนี้ นาง ไอรดา ยังกล่าวว่า แอป "ทางรัฐ" ได้รับนโยบายจากรัฐบาลให้ต่อยอดเป็นแอปที่รองรับการลงทะเบียนรับสิทธิ์เงินดิจิทัลวอลเล็ท 10,000 บาท และซอฟพาวเวอร์ได้ด้วย เนื่องจากแอปนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้เป็นซูเปอร์แอปสำหรับประชาชนอยู่แล้ว จึงสามารถตอบโจทย์นโยบายของรัฐบาลได้ โดยประชาชนสามารถดาวน์โหลดแอป "ทางรัฐ" ได้ทั้งระบบไอโฟนและแอนดรอยด์ พร้อมทั้งยืนยันตัวตนผ่านแอป หรือใช้บริการยืนยันตัวตนที่เคาน์เตอร์เซอร์วิส 7-11 ตู้บุญเติม ห
อ่านต่อ >59
#โควิด-19 #TNN ช่อง16
รัฐบาลห่วงใยยอดโควิดยังพุ่งหลังสงกรานต์ ขอให้ประชาชนมั่นใจโรงพยาบาลทุกแห่งมีความพร้อมรับมือผู้ป่วยโควิด แนะใส่หน้ากากอนามัยในพื้นที่แออัด รีบตรวจ ATK หากมีอาการคล้ายหวัดน.ส.เกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข มีความห่วงใยต่อสถานการณ์ของโรคโควิด-19 เพิ่มสูงขึ้นหลังเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งปัจจุบันโรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ และเพื่อให้เกิดความมั่นใจ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้สั่งการให้ทุกจังหวัดประเมินสถานการณ์และเตรียมความพร้อม กำชับทุกหน่วยงานดูแลประชาชนอย่างทั่วถึง ข้อมูลจากกรมควบคุมโรครายงานว่า โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (วันที่ 14-20 เมษายน 2567) พบผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลจำนวน 1,004 ราย เฉลี่ย 143 รายต่อวัน มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้ โดยพบผู้ป่วยมากขึ้นในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยวหลายแห่ง และมีผู้ป่วยอาการรุนแรงปอดอักเสบ 292 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 101 ราย และเสียชีวิต 3 ราย โดยผู้เสียชีวิตทุกราย เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ หรือมีโรคเรื้อรัง (608) รัฐบาลอยากให้ประชาชนมั่นใจว่า โรงพยาบาลทุกแห่งมีความพร้อม ทั้งด้านบุคคลากร เตียงรองรับผู้ป่วยเวชภัณฑ์ ตลอดจนมีประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยเป็นอย่างดี แต่ในขณะเดียวกัน ก็ขอให้ประชาชนเน้นสุขอนามัยส่วนบุคคล โดยการสวมหน้ากากอนามัย เมื่ออยู่ในสถานที่แออัดที่มีการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก และจำเป็นต้องล้างมือบ่อย ๆ หากมีอาการคล้ายหวัด ควรทำการตรวจ ATK ที่บ้าน และหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับกลุ่มเสี่ยง 608 หากผลตรวจเป็นบวก 2 ขีด ให้สวมหน้ากากเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ และพบแพทย์โดยเร็วเมื่อมีอาการหายใจลำบาก ทั้งนี้ สำหรับกลุ่ม 608 คือกลุ่มผู้สูงอายุมีอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้มีโรคประจำตัวในกลุ่ม 7 โรคประจำตัว ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ หากมีอาการคล้ายหวัด และผลตรวจ ATK เป็นบวก 2 ขีด ควรสวมหน้ากากและรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษา เพื่อลดโอกาสในการเกิดอาการรุนแรง หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อสายด่วนของกรมควบคุมโรคได้ที่ 1422ข้อมูลจาก รัฐบาลไทยภาพจาก TNN ONLINE
อ่านต่อ >44