วาฬ ETH เริ่มไม่มั่นใจ! ดาต้า on-chain–ฟิวเจอร์ส หั่นโอกาสราคาขึ้นแตะ 4,000 ดอลลาร์

วาฬ ETH เริ่มไม่มั่นใจ! ดาต้า on-chain–ฟิวเจอร์ส หั่นโอกาสราคาขึ้นแตะ 4,000 ดอลลาร์
แม้ ราคา Ethereum (ETH) จะเด้งขึ้นมาประมาณ 15% จากโลว์แถว ๆ 2,623 ดอลลาร์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา แต่สัญญาณจากตลาดอนุพันธ์และข้อมูล on-chain กลับไม่ได้บอกเล่าเรื่องราวเชิงบวกเท่าไรนัก วาฬ ETH และเทรดเดอร์รายใหญ่ยังคงระมัดระวัง ไม่ยอมใส่เลเวอเรจเพิ่ม ส่งผลให้โอกาสที่ราคา ETH จะกลับไปทดสอบโซน 4,000 ดอลลาร์ ในระยะสั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ดาต้าล่าสุดสะท้อนว่า ความต้องการเปิดสถานะ Long แบบใช้เลเวอเรจใน ETH แทบไม่ปรากฏ ขณะที่ค่าธรรมเนียมบนเครือข่ายลดลง และมูลค่าทรัพย์สินรวมที่ถูกล็อก (TVL) ในระบบนิเวศ DeFi ของ Ethereum ก็หดตัวต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้รวมกันกลายเป็นภาพของ “ความกลัว” มากกว่าความหวังในสายตานักลงทุน
ฟิวเจอร์ส–Funding Rate บอกชัด เทรดเดอร์ยังไม่กล้า Long หนัก
หนึ่งในสัญญาณสำคัญที่ตลาดใช้วัดความหวังของฝั่งกระทิงคือ อัตรา Funding Rate ของสัญญา Perpetual Futures
โดยปกติ หากตลาดอยู่ในโหมดบวก จะเห็น Funding Rate อยู่ในช่วงประมาณ 6–12% ต่อปี เพื่อชดเชยต้นทุนการถือสถานะ Long แต่ในรอบนี้กลับไม่มี “ดีมานด์ Long แบบเลเวอเรจ” ที่ชัดเจนเลย นั่นหมายถึง
- เทรดเดอร์ยังไม่พร้อมเทหน้าตักเพื่อผลักราคา ETH ขึ้นต่อ
- ตลาดระยะสั้นอยู่ในโหมด “รอดูทิศทาง” มากกว่าจะเดิมพันว่าราคาจะไปแตะ 4,000 ดอลลาร์เร็ว ๆ นี้
ส่วนหนึ่งของความลังเลนี้มาจาก เหตุการณ์แฟลชแครชในเดือนตุลาคม ที่ทำให้ราคา ETH ดิ่งลงกว่า 20% ในวันเดียว กวาดทั้งเลเวอเรจบน CEX และ DeFi ทิ้งไปพร้อมกัน สร้างบาดแผลด้านความเชื่อมั่นให้เทรดเดอร์จำนวนมาก
TVL หาย - วัฏจักรเครือข่ายดูแผ่วลง
หลังจากเหตุการณ์แฟลชแครช TVL บนเครือข่าย Ethereum ลดลงจากราว 99.8 พันล้านดอลลาร์ เหลือประมาณ 72.3 พันล้านดอลลาร์ การที่ “เงินที่ถูกล็อกในระบบ” หายไปเยอะขนาดนี้ กลายเป็นแรงกดดันต่อแนวโน้มราคาของ ETH เพราะ
- ดีมานด์การใช้งาน DeFi ลดลง
- สภาพคล่องบางส่วนไหลออกจากเครือข่าย
- นักลงทุนเริ่มโฟกัสสินทรัพย์หรือแพลตฟอร์มอื่นมากขึ้น
ในเวลาเดียวกัน ค่าธรรมเนียมบน Ethereum ลดลงราว 13% แม้จำนวนธุรกรรมจะทรงตัว ความต่างนี้ทำให้นักลงทุนกังวลว่าหากกิจกรรม on-chain ไม่หนาแน่นเหมือนเดิม กลไก EIP-1559 ที่เผาเหรียญ ETH ก็อาจเผาได้น้อยลง เสี่ยงให้ ETH กลับไปมี “โทเคนโนมิคส์แบบเอนเอียงไปทางเงินเฟ้อ” ในบางช่วงเวลา
พูดง่าย ๆ คือ ถ้าเครือข่ายเงียบเกินไป ETH ก็อาจไม่ได้ “ขาดแคลน” อย่างที่คนคาดหวังในตอนตลาดร้อนแรง
วาฬ–มาร์เก็ตเมกเกอร์หายไปจากฝั่ง Long ข้อมูล Long/Short เอียงฝั่งหมี
เมื่อรวมข้อมูลจากตลาดสปอต ฟิวเจอร์ส และมาร์จิ้นเทรด จะเห็นว่าวาฬและเทรดเดอร์รายใหญ่ในบางแพลตฟอร์ม เช่น OKX ลดน้ำหนักฝั่งขาขึ้นลงอย่างชัดเจน
อัตราส่วน Long-to-Short ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า
- มีการเอียงไปทางฝั่ง Short เพิ่มขึ้นราว 23%
- วาฬและมาร์เก็ตเมกเกอร์ไม่ค่อยรักษาสถานะ Long แบบเลเวอเรจในระดับที่มีนัยสำคัญ
นี่คือสัญญาณว่า “คนที่มีเงินและมีข้อมูลเยอะ” ยังไม่เชื่อเต็มร้อยว่ารอบนี้ ETH จะไปต่อถึง 4,000 ดอลลาร์ได้โดยไม่ผ่านการย่อตัวแรง ๆ อีกรอบก่อน
ภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ช่วยสร้างความกล้า – เลย์ออฟพุ่ง การจ้างงานชะลอ
อีกปัจจัยที่กดดันความเชื่อมั่นของตลาดคริปโตโดยรวมคือ ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เริ่มอ่อนแรง
- การปลดพนักงาน (layoffs) จากบริษัทสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้น หลายแห่งโทษต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น
- การจ้างงานชั่วคราวตามฤดูกาลก็ไม่คึกคักเหมือนปีก่อน
- การใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง หลังผ่านช่วงรัฐบาลสหรัฐฯ ปิดทำการบางส่วน (government shutdown)
นักลงทุนบางรายมองว่า “ถ้าเศรษฐกิจแข็งแรงจริง คงไม่เห็นการปลดพนักงานเป็นวงกว้างแบบนี้” และหากการเลย์ออฟรุนแรงขึ้น ก็ยิ่งมีโอกาสกระทบความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึง ETH และตลาดคริปโตทั้งหมด
ด้านมืดกับด้านสว่าง: เงินเฟ้อ, หนี้, AI และโอกาสของ ETH
ในอีกด้านหนึ่ง ภาพเศรษฐกิจที่ดูเปราะบางของสหรัฐฯ ก็ทำให้เกิดมุมมองที่ต่างออกไป
- รัฐบาลสหรัฐฯ จำเป็นต้อง เพิ่มหนี้ต่อเนื่อง เพื่อพยุงการเติบโต
- รายได้ภาครัฐโตไม่ทันค่าใช้จ่าย
- การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ใช้เงินจำนวนมหาศาล แต่ต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะคืนกลับมาเป็นผลผลิตจริง
สภาพแบบนี้อาจทำให้บางคนหันมามอง สินทรัพย์ทางเลือก (alternative assets) มากขึ้น ซึ่งรวมถึง Bitcoin และ Ethereum ในฐานะตัวเลือกป้องกันความเสี่ยงจากระบบการเงินดั้งเดิม
ถ้าในระยะกลาง–ยาว ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จำเป็นต้องปรับนโยบายให้นุ่มนวลขึ้น ลดดอกเบี้ย หรืออัดสภาพคล่องกลับเข้าสู่ระบบสินทรัพย์เสี่ยงอย่างคริปโต ก็อาจได้อานิสงส์จากจุดนี้เช่นกัน เพียงแต่ ตอนนี้ตลาดยังไม่เห็นสัญญาณที่ชัดเจน จึงอยู่ในโหมดรอมากกว่าลุย
สรุป: ETH จะเห็น 4,000 ดอลลาร์ได้ ต้อง “ดาต้า” เชิงบวกก่อน
ในภาพรวม เหตุผลที่ทำให้วาฬ ETH และนักลงทุนรายใหญ่ยังไม่กล้าเดิมพันเต็มตัวกับการวิ่งไป 4,000 ดอลลาร์ มีทั้งปัจจัยเชิงโครงสร้างและมาโครผสมกัน ได้แก่
- TVL บน Ethereum หดตัวอย่างมีนัยสำคัญหลังแฟลชแครช
- ค่าธรรมเนียมเครือข่ายลดลง เสี่ยงกระทบกลไกการเผาเหรียญ
- Funding Rate และข้อมูลฟิวเจอร์สชี้ว่า ไม่มีใครอยาก Long หนัก
- Long/Short Ratio ของเทรดเดอร์รายใหญ่เอียงไปทางฝั่งหมี
- ภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทั้งเรื่องเลย์ออฟและการเติบโตที่ชะลอลง
ในระยะสั้น นักลงทุนจำนวนมากจึงเลือกโฟกัสไปที่ หุ้นเทคโนโลยีและตลาดตราสารหนี้ มากกว่าที่จะเสี่ยงเพิ่มน้ำหนักใน ETH
สุดท้ายแล้ว การที่ ETH จะกลับมายืนเหนือโซน 4,000 ดอลลาร์อย่างมั่นคงได้ น่าจะต้องรอให้ 3 อย่างนี้เปลี่ยนไปพร้อมกัน คือ
- สภาพคล่องใหม่ไหลกลับเข้าตลาด
- กิจกรรมบนเครือข่าย Ethereum ฟื้นตัว
- และวาฬกลับมาถือฝั่ง Long แบบมีเลเวอเรจอีกครั้ง
ก่อนถึงวันนั้น ตลาด ETH อาจยังคงอยู่ในโหมด “ระแวงแต่ยังไม่หนี” ต่อไปอีกพักใหญ่
อ้างอิง : cointelegraph.com
ที่มา https://www.bitcoinaddict.com/news/eth-whales-worried-onchain-derivatives-4000
Bitcoin Maxis เดือด! จี้แบน JPMorgan หลังออก Bitcoin-backed Notes ชี้ชนตรงบริษัทถือ BTC
กระแสในชุมชน Bitcoin กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง เมื่อธนาคารยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง JPMorgan ยื่นเอกสารต่อสำนักงาน ก.ล.ต. สหรัฐ (SEC) เพื่อเตรียมออกผลิตภัณฑ์การเงินใหม่ที่อิงกับ ราคา Bitcoin แบบเลเวอเรจ ทำให้เหล่า Bitcoiners และผู้สนับสนุนบริษัทสายถือ Bitcoin อย่าง Strategy ออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็น Bitcoin-backed notes ที่ให้ผลตอบแทนแบบทวีคูณ คือผู้ลงทุนจะได้ทั้งกำไรและขาดทุนในอัตรา 1.5 เท่า ของการเคลื่อนไหวของราคา BTC ไปจนถึงเดือนธันวาคม 2028 โดยมีแผนเริ่มเปิดตัวในตลาดช่วงเดือนธันวาคม 2025 ตามเอกสารที่ยื่นต่อ SEC
สำหรับฝั่งชุมชน Bitcoin มองว่าผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ไม่ได้เป็นเพียง “ทางเลือกลงทุน” แต่กำลังกลายเป็น สินค้าคู่แข่งโดยตรงกับบริษัทที่ถือ Bitcoin ในงบดุล หรือที่เรียกกันว่า crypto treasury companies ซึ่งรวมถึง Strategy ที่เป็นหนึ่งในบริษัทถือ BTC รายใหญ่ที่สุดในโลก
ทำไม Bitcoiners ถึงมองว่า JPMorgan “กำลังโกงเกม”?
เสียงวิจารณ์หลักจากฝั่งผู้สนับสนุน Bitcoin มีอยู่สองประเด็นใหญ่ ๆ
- ผลประโยชน์ทับซ้อน – เมื่อ JPMorgan ออกผลิตภัณฑ์ลงทุนที่อิงกับ Bitcoin เอง ก็มีแรงจูงใจที่จะผลักดันให้เม็ดเงินไหลเข้า “โน้ตอิง BTC” ของตัวเอง แทนที่จะไปอยู่ในหุ้นของบริษัทที่ใช้กลยุทธ์ถือ Bitcoin เป็นทุนสำรอง เช่น Strategy
- การสร้าง FUD ต่อบริษัทถือ BTC – หลายคนมองว่าการวิจารณ์หรือรายงานเชิงลบต่อบริษัทอย่าง Strategy มีโอกาส “เป็นระบบ” มากขึ้น เมื่อสถาบันการเงินใหญ่ ๆ เริ่มมีผลประโยชน์ในสินค้าทางการเงินที่ออกมาแข่งกันเอง
หนึ่งใน Bitcoiners บนแพลตฟอร์ม X ให้ความเห็นว่า
“Saylor เปิดประตูจากตลาดบอนด์มูลค่า 300 ล้านล้านดอลลาร์ และตลาดตราสารหนี้ 145 ล้านล้านดอลลาร์ ตอนนี้ JP Morgan กำลังออกพันธบัตรอิง Bitcoin เพื่อมาแข่ง กลายเป็นว่าสถาบันที่เคยโจมตี MSTR กำลังลอกกลยุทธ์ไปใช้เอง”
ข้อความนี้สะท้อนความไม่พอใจที่ว่า บริษัทสาย Bitcoin อย่าง Strategy เป็นคน “เปิดทาง” ให้โลกการเงินดั้งเดิมมองเห็นศักยภาพของการถือ BTC ในงบดุล แต่เมื่อโมเดลเริ่มได้รับความสนใจ สถาบันการเงินรายใหญ่ก็เข้ามาออกสินค้าตอบโจทย์นักลงทุนสถาบันเอง และอาจกดดันบริษัทสาย Bitcoin เดิมไปพร้อมกัน
มุมมองด้านความเสี่ยง: เครื่องมือเพื่อดึง Margin Call ในช่วงตลาดขาลง?
Simon Dixon หนึ่งในผู้สนับสนุน Bitcoin ชื่อดัง มองว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงผลิตภัณฑ์การลงทุนธรรมดา แต่มีศักยภาพที่จะถูกใช้เป็น “เครื่องมือเร่งแรงขาย” ในตลาดคริปโตด้วย
เขาให้ความเห็นว่า Bitcoin-backed notes แบบเลเวอเรจ อาจถูกออกแบบให้สร้างแรงกดดันในช่วงตลาดขาลง โดยเฉพาะในกรณีที่บริษัทหรือผู้เล่นรายใหญ่ใช้ “กู้ยืมโดยมี Bitcoin เป็นหลักประกัน” หากราคาถูกดึงลงอย่างรุนแรง ก็สามารถกระตุ้นให้เกิด Margin Call และบังคับขาย BTC เพิ่มเติม ทำให้แรงขายในตลาดยิ่งทวีคูณขึ้น
มุมมองนี้ทำให้หลายคนกังวลว่า
- ผลิตภัณฑ์ที่ดูเหมือนถูกสร้างมาเพื่อเพิ่มทางเลือกให้นักลงทุน
- อาจกลายเป็น “เครื่องมือเชิงโครงสร้าง” ที่ทำให้บริษัทสายถือ Bitcoin ต้องเผชิญกับความเสี่ยงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภาวะตลาดหมี
MSCI เสนอเกณฑ์ใหม่: ตัดบริษัทถือคริปโตเกิน 50% ออกจากดัชนี
ความไม่พอใจต่อ JPMorgan ไม่ได้เกิดจากตัวผลิตภัณฑ์ Bitcoin-backed notes เพียงอย่างเดียว แต่ลุกลามไปถึงประเด็นด้าน ดัชนีหุ้นระดับโลก ด้วย
จุดเริ่มต้นอยู่ที่บริษัท MSCI (Morgan Stanley Capital International) ซึ่งเป็นผู้จัดทำดัชนีหุ้นรายใหญ่ของโลก และเป็นผู้กำหนดเกณฑ์การคัดเลือกบริษัทเข้าดัชนี ได้เสนอ การเปลี่ยนแปลงกฎใหม่ ที่จะมีผลในเดือนมกราคมที่จะถึงนี้
ใจความสำคัญของเกณฑ์ใหม่คือ
- บริษัทที่เข้าข่ายเป็น crypto treasury company
- และมี ทรัพย์สิน 50% ขึ้นไปอยู่ในรูปของคริปโตเคอร์เรนซี
- จะถูก ตัดสิทธิ์ออกจากการถูกรวมอยู่ในดัชนีของ MSCI
ข้อความนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างหนักต่อบริษัทที่เลือกใช้กลยุทธ์ถือ Bitcoin หรือคริปโตในงบดุล เพราะการถูกตัดออกจากดัชนี หมายถึง
- สูญเสีย เม็ดเงินจากกองทุน Passive ที่ลงทุนตามดัชนี
- อาจถูกกดดันให้ ขาย Bitcoin หรือคริปโตบางส่วน เพื่อลดสัดส่วนลงให้ผ่านเกณฑ์การคัดเลือก
- และแรงขายดังกล่าวอาจกดราคาสินทรัพย์ดิจิทัลลงไปอีกในเชิงโครงสร้าง
JPMorgan โดนมองว่าหนุนเกมที่กดดันบริษัทถือ Bitcoin
ความเดือดของชุมชน Bitcoin ปะทุขึ้นเมื่อ JPMorgan นำเสนอและแชร์รายงานเกี่ยวกับข้อเสนอของ MSCI ผ่านโน้ตวิจัยในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ทำให้หลายคนมองว่า JPMorgan กำลัง “ขยายเสียง” ของกฎใหม่ที่กระทบต่อบริษัทอย่าง Strategy และบริษัท crypto treasury รายอื่น ๆ
จากมุมมองของชุมชน BTC การกระทำนี้ถูกตีความว่าเป็น “การเล่นสองหน้า”
- ด้านหนึ่ง JPMorgan ออกผลิตภัณฑ์อิง Bitcoin ของตัวเอง
- อีกด้านหนึ่งกลับแชร์ข้อมูลหรือกรอบกติกาที่อาจทำให้บริษัทที่ถือ Bitcoin เป็นทุนสำรองถูกบีบให้ขายเหรียญ หรือต้องปรับโครงสร้างงบดุล
ผลลัพธ์สุทธิในสายตา Bitcoiners คือ
JPMorgan อาจได้ประโยชน์จากทั้งด้านโครงสร้างตลาดทุน และเม็ดเงินที่ไหลเข้าสินค้านำเสนอเอง ขณะที่บริษัทสายถือ BTC กลายเป็น “ผู้รับแรงกระแทก”
ไม่แปลกที่บนแพลตฟอร์ม X จะเริ่มมีการรณรงค์ในหมู่ผู้สนับสนุน Bitcoin และแฟน ๆ ของ Strategy ให้
- ปิดบัญชีธนาคารกับ JPMorgan
- และขายหุ้น JPMorgan ที่ถืออยู่
เพื่อเป็น “สัญลักษณ์” ของการไม่เห็นด้วยกับเกมที่พวกเขามองว่าไม่แฟร์ต่อระบบนิเวศ Bitcoin
สรุป: ศึกระหว่างโลกการเงินดั้งเดิมกับบริษัทสายถือ Bitcoin ยังไม่จบง่าย ๆ
กรณีของ Bitcoin-backed notes จาก JPMorgan และ เกณฑ์ใหม่ของ MSCI สะท้อนให้เห็นแรงปะทะระหว่าง
- โลกการเงินดั้งเดิม (TradFi)
- กับบริษัทที่เลือกใช้ Bitcoin เป็นสินทรัพย์สำรองหลักในงบดุล
ขณะที่ Bitcoin กำลังถูกยอมรับมากขึ้นในฐานะสินทรัพย์ทางเลือกและสินทรัพย์สำรองระดับองค์กร เกมในระดับ “กติกา” ทั้งฝั่งตลาดทุนและผลิตภัณฑ์โครงสร้างทางการเงินก็เริ่มซับซ้อนขึ้นตามไปด้วย
นักลงทุนและผู้ติดตามตลาดคริปโตจึงอาจต้องจับตามองไม่ใช่แค่ “ราคา Bitcoin” อย่างเดียว แต่ต้องดูไปถึง
- ใครเป็นผู้ออกผลิตภัณฑ์อิง BTC
- ใครเป็นคนกำหนดเกณฑ์ดัชนี
- และกติกาเหล่านี้เปิดโอกาสให้ใคร หรือกดดันใครกันแน่ในระยะยาว
อ้างอิง : cointelegraph.com
ที่มา https://www.bitcoinaddict.com/news/bitcoiners-criticize-jpmorgan-bitcoin-backed-notes-msci-rule
Ethereum กลับมาร้อนแรง เทรดเดอร์แห่ใช้เลเวอเรจลุ้นเป้า 3,400 ดอลลาร์
Ethereum (ETH) กลับมาอยู่ในสปอตไลต์อีกครั้ง หลังข้อมูลตลาดล่าสุดสะท้อนว่าเทรดเดอร์กำลัง “เพิ่มเลเวอเรจ” ผ่านสัญญา ฟิวเจอร์ส Ethereum มากกว่าการซื้อแบบสปอต ขณะที่นักวิเคราะห์จำนวนไม่น้อยกำลังจับตาว่าแรงเก็งกำไรครั้งนี้จะพา ราคา ETH วิ่งไปทดสอบโซน 3,300–3,400 ดอลลาร์ได้หรือไม่
ข้อมูลจาก CryptoQuant ระบุว่าอัตราส่วน futures-to-spot ของ Ether บน Binance พุ่งจากระดับ 5 ขึ้นมาแตะ 6.84 ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในไตรมาส 4 นั่นหมายความว่านักเทรดกำลังเลือกใช้เลเวอเรจในตลาดอนุพันธ์ มากกว่าการสะสมเหรียญแบบสปอตในช่วงนี้
ฟิวเจอร์ส ETH นำโด่ง แซงทั้ง Bitcoin และ Solana
หากเทียบกับสินทรัพย์คริปโตรายใหญ่ตัวอื่น ๆ ทั้ง Bitcoin (BTC) และ Solana (SOL) จะพบว่า ETH กำลังโดดเด่นอย่างชัดเจน
- Bitcoin มีอัตราส่วน futures-to-spot ราว 4
- Solana อยู่แถว ๆ 4.3
- ขณะที่ Ethereum พุ่งขึ้นไปถึง 6.84
ตัวเลขนี้สะท้อนว่า ETH กลายเป็น สินทรัพย์ใหญ่ที่ถูกถือด้วยเลเวอเรจมากที่สุด ในตลาด ณ ตอนนี้ แปลได้ว่าตลาดกำลังคาดหวังว่า Ethereum จะมีความผันผวน หรือมี “เหตุการณ์สำคัญบางอย่าง” ที่เกี่ยวข้องกับ ETH โดยเฉพาะ ทำให้เทรดเดอร์เลือกใช้ฟิวเจอร์สเพื่อเก็งกำไรทิศทางราคาอย่างจริงจัง
นอกจากนี้ ข้อมูล Open Interest (OI) ฝั่ง Bitcoin ยังปรับตัวลดลงต่อเนื่องในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ OI ของ Ethereum ยังทรงตัวได้ดี โดยมีการปรับฐานเฉลี่ยเพียงราว 0.47% ต่อวัน สัญญาณนี้บอกได้ว่า เม็ดเงินเสี่ยง (risk capital) กำลังหมุนออกจาก BTC แล้วไหลเข้าสู่ ETH ซึ่งมีความ “เบต้าสูงกว่า” หรือมีศักยภาพในการเคลื่อนไหวแรงกว่าในสายตานักเก็งกำไร
โซนเทคนิคสำคัญ: แนวรับ 2,800 ดอลลาร์ – แนวต้าน 3,050 และ 3,390 ดอลลาร์
ในมุมมองด้านเทคนิค เทรดเดอร์สายโครงสร้างราคา (market structure) มองว่า กราฟ ETH ยังอยู่ในโครงสร้างเชิงบวก แม้ภาพใหญ่ในตลาดคริปโตจะยังผันผวนก็ตาม
นักเทรดรายหนึ่งชี้ว่า กรอบเวลา 4 ชั่วโมงของ ETH มีฐานรองรับสำคัญแถว ๆ 2,800 ดอลลาร์ ที่เคยมีแรงซื้อกลับเข้ามาชัดเจน หากราคาเกิดการย่อตัวลงมาโซนนี้อีกครั้ง ตลาดคาดว่าจะมีแรงรับกลับเข้ามาอีกรอบ และอาจกลายเป็นจุดตั้งต้นของการดีดตัวรอบใหม่
ด้านเป้าหมายขาขึ้น เทรดเดอร์ฝั่งกระทิงจับตาแนวทางดังนี้
- หาก ETH ยืนเหนือ 3,000 ดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจนและเปลี่ยนจากแนวต้านเป็นแนวรับ
- เป้าหมายแรกคือบริเวณ 3,050 ดอลลาร์
- ตามด้วยโซน 3,390–3,400 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นทั้งคลัสเตอร์สภาพคล่อง (liquidity cluster) และระดับแนวรับ–แนวต้านสำคัญบนกรอบเวลาที่สูงกว่า
บริเวณ 3,390 ดอลลาร์ยังถูกมองว่าเป็นโซนที่ทับซ้อนกับ Fair Value Gap (FVG) และระดับราคาเชื่อมโยงกับ yearly open ทำให้จุดนี้ถูกจับตาอย่างมากว่าอาจเป็น “ด่านสำคัญ” ของรอบรีบาวด์ถัดไปของ Ethereum
มุมมองต่างกันในระยะสั้น: กระทิง–หมี ยังไม่ลงรอย
แม้โครงสร้างใหญ่ของ ETH จะดู “สร้างฐาน” ได้ค่อนข้างดี แต่ในระยะสั้น นักวิเคราะห์ยังแบ่งเป็นสองฝั่งชัดเจน
ฝั่งหมีมองว่า ETH ยังถูกกดไว้โดยเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 100 EMA บนกรอบ 4 ชั่วโมงมาตลอดเดือนพฤศจิกายน ทุกครั้งที่ราคาขึ้นไปชนบริเวณนี้มักถูกเทขายกลับลงมา ทำให้ยังมองว่าเทรนด์ระยะสั้นมีความเสี่ยงต่อการย่อตัวอีกรอบ หากราคาไม่สามารถยืนเหนือ 3,000 ดอลลาร์ได้อย่างมั่นคง
ในขณะเดียวกัน ฝั่งกระทิงกลับมองบรรยากาศที่ดู “เงียบ ๆ” ของช่วงเทศกาลต่างประเทศว่าอาจกลายเป็นจุดตั้งต้นของแรงซื้อรอบใหม่ นักวิเคราะห์บางรายชี้ว่า ETH กำลังแกว่งตัวอยู่เหนือโซน 0.618 ของการฟื้นตัวรอบปี 2025 แถมยังมีแนวรับหลายชั้นบนกรอบเวลาที่สูงกว่า ทำให้มีโอกาสเห็นสิ่งที่หลายคนเรียกว่า “Ethereum Santa Rally” ในช่วงเดือนธันวาคม โดยมีเป้าหมายบริเวณ 3,300 ดอลลาร์ขึ้นไป
เงินกำลังไหลจาก BTC สู่ ETH จริงหรือไม่?
อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจคือ การที่ Bitcoin dominance เริ่มอ่อนตัวลง พร้อม ๆ กับข้อมูล OI ของ BTC ที่ลดลง แต่วิวภาพของ ETH ยังแข็งแรงกว่า นี่อาจเป็นสัญญาณว่า “เงินกำลังหมุนจาก BTC ไปหา Altcoin ใหญ่” โดยมี Ethereum เป็นตัวหลักของรอบนี้
อย่างไรก็ตาม การที่ ETH มีอัตราส่วน ฟิวเจอร์สต่อสปอตสูงมาก ก็หมายความว่า ตลาดกำลังเต็มไปด้วยเลเวอเรจเช่นกัน หากราคาเคลื่อนไหวสวนทางกับฝั่งที่ถือสัญญาอยู่ การดีดลงแรง ๆ เพื่อ “ล้างเลเวอเรจ” (leverage flush) ก็ยังเป็นความเสี่ยงสำคัญที่ต้องระวัง
สรุป: ETH กำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญของรอบนี้
ภาพรวมตอนนี้คือ Ethereum กำลังดึงเม็ดเงินและความสนใจกลับมาจาก Bitcoin ทั้งจากมุมมองฟิวเจอร์ส, Open Interest และโครงสร้างทางเทคนิค นักเก็งกำไรจำนวนมากกำลังลุ้นว่าโซน 3,000 ดอลลาร์จะถูกเปลี่ยนสถานะจากแนวต้านกลับมาเป็นแนวรับ และส่งราคา ETH ขึ้นไปทดสอบบริเวณ 3,390–3,400 ดอลลาร์
แต่เพราะการขึ้นรอบนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยเลเวอเรจเป็นหลัก นักลงทุนจึงควรบริหารความเสี่ยงให้รอบคอบ เช็กทั้งระดับแนวรับ–แนวต้าน, ข้อมูล OI และภาวะตลาดโดยรวมทุกครั้งก่อนตัดสินใจ ไม่ว่ารอบใหม่ของ ETH จะกลายเป็น “Santa Rally” สมใจหรือไม่ ตลาดก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามองข้าม Ethereum ไปไม่ได้เลยในโค้งสุดท้ายของปีนี้
อ้างอิง : cointelegraph.com
ที่มา https://www.bitcoinaddict.com/news/eth-traders-leverage-target-3400-q4
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
