รีเซต

คาร์บอนไทยขึ้นเวทีโลก สายการบินจ่อซื้อเพียบ

คาร์บอนไทยขึ้นเวทีโลก สายการบินจ่อซื้อเพียบ
ทันหุ้น
28 พฤศจิกายน 2568 ( 01:40 )

            นายณกรณ์  ตรรกวิรพัท  ผู้อำนวยการ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ได้ประกาศการรับรองมาตรฐานคาร์บอนเครดิตของ Premium T-VER หรือ P-TVER ของ อบก. ให้เป็นกลไกที่สามารถนำคาร์บอนเครดิตที่ได้รับการรับรองจาก Premium T-VER ใน 11 กิจกรรม ไปใช้ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้กับสายการบินที่ให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศ ภายใต้กลไก CORSIA (Carbon Offsetting and Reduction Scheme for International Aviation) ระยะที่ 1 ปี 2567-2569 จะส่งผลดีให้เห็นถึงมาตรฐานของ Premium T-VER ที่มีความเข้มข้นในการรับรองคาร์บอนเครดิต และมีความน่าเชื่อถือไม่ต่างจากหน่วยงานมาตรฐานของต่างประเทศ

            โดย Premium T-VER เป็นหนึ่งใน 8 กลไกทั่วโลกที่ได้รับความเห็นชอบจาก ICAO และเป็น มาตรฐานเดียวที่บริหารจัดการโดยภาครัฐ ส่วนอีก 7 กลไกที่เหลือเป็นองค์กรเอกชน ทำให้ไม่ต้องกังวลว่ามาตรฐานไทยไม่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลอีกต่อไป ทั้งนี้ Premium T-VER นับว่าป็นมาตรฐานที่มีค่าใช้จ่ายที่คุ้มค่ากว่ามาตรฐานของต่างประเทศ และ อบก. กำลังดำเนินการในเรื่อง Dual Certification เพื่อให้ทำผู้ที่ผ่านการรับรองจาก Premium T-VER สามารถ "ติดแท็ก" ไปสู่การรับรองคาร์บอนเครดิตของ กลุ่มเอกชนที่มีชื่อเสี่ยงเช่น Gold Standard ได้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้พัฒนาโครงการสามารถลดต้นทุนในการดำเนินการ เมื่อเทียบกับการไปทำมาตรฐานอื่นแต่แรก โดยไม่ต้องยื่นเอกสารทำใหม่ทั้งหมด

            ดังนั้นเชื่อว่า Premium T-VER  จะได้รับความนิยมในการรับรองคาร์บอนเคริดตมากขึ้น จากปัจจุบันที่มีผู้ผ่านการรับรองโครงการจำนวน 8 โครงการ เป็นกลุ่มป่าไม้ 5 โครงการ และการเกษตร 3 โครงการ เป็นโครงการนาข้าวเปียกสลับแห้งทั้งหมด โดยปัจจุบันมีผู้ยื่นขอการรับรองอยู่ราว 52 โครงการ

            นายณกรณ์ กล่าวว่า มาตรการ CORSIA นับเป็นกลไกที่ ICAO จัดทำขึ้นเพื่อบริหารจัดการการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสายการบินระหว่างประเทศ โดยสายการบินจะต้องเริ่มรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และจะต้องมีการชดเชย (Offset) ให้แล้วเสร็จภายในปี 2571 ซึ่งมองว่าสายการบินสามารถวางแผนและดำเนินการซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อเตรียมการไว้ล่วงหน้าได้ เพราะมีภาระผูกพันที่ต้องชดเชยภายใน 2 ปีข้างหน้า  คาดการณ์ว่าความต้องการจะอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยจากนี้จะมีการพูดคุยกับสายการบินเพื่อทำสนับสนุนต่อไป

@ น้ำท่วมเร่งกฎหมาย

            ทั้งนี้ตลาดคาร์บอนเครดิตของไทยในปัจจุบันเป็นตลาดภาคสมัครใจ แต่แนวโน้มของตลาดอยู่ใน "ขาขึ้น" โดยเฉพาะเมื่อมีการรับรองจาก ICAO แล้ว ส่วนปัจจัยสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนตลาดคือ ความชัดเจนของกฎหมายภาคบังคับ (พ.ร.บ. โลกร้อน) และ ความชัดเจนด้านการลงบัญชี ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ได้ชัดเจน และมองว่าตลาดจะมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างน้อย 2-3 เท่า ในปีงบประมาณ 2569

            โดยมองว่า ปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นทั่วโลกและในประเทศ ยิ่งทำให้ประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ตระหนักถึงความสำคัญ และเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ "รอไม่ได้" และจะส่งผลให้รัฐบาลต้องการเดินหน้ามาตรการภาคบังคับอย่างเข้มข้นมากยิ่งขึ้น  ซึ่งคาดว่าร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวจะเข้าสู่การพิจารณาในสัปดาห์หน้า ความชัดเจนของ พ.ร.บ. จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ตลาดคาร์บอนเครดิตของไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด

@ ดันไทยโอนคาร์บอนเครดิตญี่ปุ่น

            ด้าน ดร.พฤฒิภา โรจน์กิตติคุณ ผู้อำนวยการสำนักรับรองคาร์บอนเครดิต อบก. เปิดเผยว่า อบก. พร้อมสนับสนุนภาคเอกชนไทยเข้าโครงการการถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตภายใต้กลไกเครดิตร่วม (JCM) ให้ญี่ปุ่น ซึ่งนับตั้งแต่ที่มีโครงการนี้ปี 2558 ไทยมีโครงการที่ได้รับการสนับสนุนเงินลงทุนในการพัฒนาโครงการลดก๊าซเรือนกระจกจากญี่ปุ่น รวม 57 โครงการ รวมเงินสนับสนุนที่ได้รับ 2,853 ล้านบาท ก่อให้เกิดการลงทุนรวม 8,467 ล้านบาท ซึ่งล่าสุด บริษัท ทีเอสบี บางกอก จำกัด ประเทศไทย ร่วมกับบริษัท TSB GreeNex Co., Ltd. ประเทศญี่ปุ่น เป็นการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบลอยน้ำ ขนาด 5 เมกะวัตต์ บนบ่อน้ำในนิคมอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ถ่ายโอนไปจำนวน 1,009 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ให้แก่รัฐบาลญี่ปุ่น

            ญี่ปุ่นยังมีงบประมาณสำหรับสนับสนุนการดำเนินงานใน 31 ประเทศรวมกว่า 2,350 ล้านบาท โดยจะมีการเปิดรับสมัครข้อเสนอโครงการครั้งถัดไปช่วงต้นเดือนเมษายน 2568 ทาง อบก. จะมีการจัดสัมมนาให้ข้อมูลในวันที่ 4 และ 17 ธันวาคม 2568

@มาตรฐานบัญชีชัด

            นางสาวอโณทัย  สังข์ทอง  ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารและทะเบียนคาร์บอนเครดิต อบก. กล่าวว่า อบก.ได้มีการเจรจากับสภาวิชาชีพในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อทำให้การบันทึกบัญชีต่างๆ มีมาตรฐาน โดยมีข้อสรุปว่า คาร์บอนเครดิตถือเป็น สินทรัพย์ที่ไม่มีรูปร่าง ที่สามารถถือกำหนดราคาและซื้อขายได้ ส่วนหลักการจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วงด้วยกัน คือ

1. ก่อนการรับรอง รายจ่ายที่เกิดขึ้น เช่น ค่าธรรมเนียมการขึ้นทะเบียน ค่าจ้างผู้ตรวจประเมินภายนอก หรือค่าใช้จ่ายในการปลูกต้นไม้ในช่วงแรก หากไม่เข้าข่ายนิยามสินทรัพย์ ให้บันทึกเป็น ค่าใช้จ่าย ได้เลย          

2. เมื่อได้รับการรับรอง คาร์บอนเครดิตจะถูกรับรู้เป็นสินทรัพย์ ในวันที่ อบก. ให้การรับรอง ส่วนการ ตีมูลค่า หากผู้ประกอบการถือครองคาร์บอนเครดิตไว้เพื่อขายจะบันทึกเป็นสินค้าคงเหลือ จะรับรู้รายการด้วยราคมทุน ส่วยการถือครองเพื่อใช้ประโยชน์ในอนาคต จะบันทึกเป็นสินทรัพย์ไม่มีตัวตน รับรู้ด้วยราคาทุน แต่เมือ่มีตลาดที่มีสภาพคล่องแล้ว สามารถตีราคาใหม่ได้

            ความชัดเจนนี้สำคัญมาก โดยเฉพาะกับบริษัทจดทะเบียน เพื่อให้สามารถเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนได้อย่างถูกต้อง สอดคล้องกับมาตรฐานสากล

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง