ปี 2569 "สงครามการค้า" ยังป่วนเศรษฐกิจโลก

องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เพิ่งเผยแพร่รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจ (Economic Outlook) ฉบับเดือนธันวาคม ระบุว่า ในปี 2568 เศรษฐกิจโลกสามารถรองรับแรงกระแทกจากสงครามการค้าได้ดีเกินคาด ทั้งการผลิตและการส่งออกสินค้าล่วงหน้าก่อนมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้ ประกอบกับภาวะการเงินที่คลี่คลาย นโยบายมหภาค การเพิ่มขึ้นของรายได้ที่แท้จริง และความต้องการลงทุนด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ล้วนเป็นปัจจัยที่สนับสนุนความต้องการบริโภค ซึ่งช่วยชดเชยผลกระทบจากอุปสรรคทางการค้า ความไม่แน่นอนด้านนโยบาย และการลงทุนด้านที่อยู่อาศัยที่ลดลง
การเติบโตของ GDP ในเขตเศรษฐกิจพัฒนาแล้วมีความหลากหลาย กรณีของสหรัฐฯ การบริโภคภาคเอกชนชะลอตัวลงจากปี 2567 สะท้อนถึงอัตราภาษีที่สูงขึ้นกระทบการนำเข้า รวมถึงการปิดทำการของหน่วยงานรัฐบาลกลาง หรือชัตดาวน์ ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจชั่วคราว แต่มีการลงทุนอย่างแข็งแกร่งในกลุ่มอุปกรณ์ประมวลผลและซอฟต์แวร์ รวมถึงตลาดหุ้นที่พุ่งทะยาน ส่วนในญี่ปุ่นได้แรงหนุนจากการลงทุนภาคเอกชน แม้อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นจะกระทบต่อรายได้ของภาคครัวเรือน ส่วนยูโรโซน การเติบโตทางเศรษฐกิจค่อนข้างซบเซา ขณะที่การขยายตัวของ GDP ในตลาดเกิดใหม่หลายแห่งค่อนข้างแข็งแกร่ง กรณีของจีนได้แรงหนุนจากการส่งออกล่วงหน้าก่อนกำแพงภาษีสหรัฐฯ จะบังคับใช้ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ถึงแม้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังไม่ฟื้นก็ตาม
OECD ประเมินว่า GDP โลกในปีนี้จะขยายตัวที่ร้อยละ 3.2 ชะลอตัวลงเล็กน้อยจากร้อยละ 3.3 ในปี 2567 ก่อนจะขยับลดลงแตะระดับร้อยละ 2.9 ในปี 2569 สอดคล้องกับการประเมินในเดือนกันยายน ส่วนกลุ่มกลุ่มเขตเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 20 แห่ง หรือ G20 มีแนวโน้มจะขยายตัวร้อยละ 3.2 ในปีนี้ และร้อยละ 2.9 ในปีหน้า สำหรับกลุ่ม OECD น่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 1.7 ทั้งในปีนี้และปีหน้า ขณะที่ GDP สหรัฐฯ น่าจะขยายตัวร้อยละ 2.0 ในปีนี้ ก่อนจะชะลอเหลือร้อยละ 1.7 ในปีหน้า ด้านจีนมีแนวโน้มเติบโตร้อยละ 5.0 ในปีนี้ และชะลอเหลือร้อยละ 4.4 ในปีหน้า และ GDP อินเดียน่าจะขยายตัวร้อยละ 6.7 ในปีนี้ และขยับลดลงแตะร้อยละ 6.2 ในปีหน้า
น่าสนใจว่า ปริมาณการค้าโลก ทั้งสินค้าและบริการ ก็ขยายตัวแข็งแกร่งเกินคาดในปีนี้ โดยการส่งออกพุ่งสูงขึ้นในไตรมาสแรกก่อนที่สหรัฐฯ จะบังคับใช้มาตรการกำแพงภาษี ในไตรมาส 2 ปริมาณการค้าโลกเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 8.1 แม้สหรัฐฯ จะนำเข้าสินค้าลดลงร้อยละ 29.3 แต่ผลกระทบดังกล่าวได้รับการชดเชยบางส่วนจากการค้าที่แข็งแกร่งในอินเดียและการเติบโตอย่างต่อเนื่องในเขตเศรษฐกิจเกิดใหม่ขนาดเล็กในเอเชีย ขณะเดียวกัน การค้าที่เติบโตในเขตเศรษฐกิจเกิดใหม่ในเอเชียสะท้อนถึงการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นจากจีน ในอัตราร้อยละ 9.8 ในไตรมาส 2 แม้ว่าจีนจะส่งออกไปยังสหรัฐฯ ลดลง
นอกจากนี้ การค้าในหลายประเทศแถบเอเชียยังได้รับแรงหนุนจากสินค้าที่เกี่ยวกับ AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งเชื่อมโยงกับการลงทุนด้านอุปกรณ์ ICT ที่เพิ่มขึ้นมากในสหรัฐฯ และในบางประเทศ ทั้งนี้ ข้อมูลจากองค์การการค้าโลก ประเมินว่า ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ การค้าที่เกี่ยวกับ AI คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 15.5 ของการค้าสินค้าทั้งหมดทั่วโลก โดย 2 ใน 3 มาจากเอเชีย ส่วนยุโรปมีสัดส่วนราวร้อยละ และอเมริกาเหนือมีสัดส่วนร้อยละ 2.5
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลกิจกรรมทางเศรษฐกิจบางส่วนส่งสัญญาณชะลอตัวลง เนื่องจากการเร่งรัดการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคและการลงทุนคลี่คลายลง การผลิตภาคอุตสาหกรรมในเขตเศรษฐกิจหลักบางแห่ง อาทิ เยอรมนีและญี่ปุ่นชะลอตัวลง แต่กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องในจีนและสหรัฐฯ แม้จะเผชิญความไม่แน่นอนด้านนโยบายเพิ่มขึ้น ขณะที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้รับผลกระทบชัดเจนกว่า จากตัวเลขที่ลดลง
ขณะเดียวกัน ความต้องการแรงงานก็เริ่มมีสัญญาณชะลอตัวลงในปีนี้ โดยปัจจุบันหลายประเทศอยู่ต่ำกว่าระดับเฉลี่ยในปี 2562 อาทิ สหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมนี แคนาดา และญี่ปุ่น ส่วนอัตราว่างงานในกลุ่ม OECD สูงขึ้นจากเฉลี่ยร้อยละ 5.2 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 เป็นร้อยละ 5.5 ในไตรมาส 3 ของปีนี้ เนื่องจากการว่างงานที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มคนอายุ 25-54 ปี
สำหรับอัตราเงินเฟ้อยังมีความแตกต่างกันในแต่ละประเทศ อย่างในยูโรโซน เขตเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 4 แห่งมีอัตราเงินเฟ้อใกล้เคียงหรือต่ำกว่าเป้าหมายที่ร้อยละ 2 ส่วนบางประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำกว่าร้อยละ 2 อาทิ คอสตาริกา อินเดีย มาเลเซีย เปรู ฟิลิปปินส์ และไทย ขณะที่จีนเริ่มเห็นดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในแดนบวกเมื่อเดือนตุลาคม หลังเผชิญความเสี่ยงเงินฝืดก่อนหน้านี้ ในทางกลับกัน หลายประเทศมีอัตราเงินเฟ้อสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลาง อาทิ อังกฤษ ญี่ปุ่น บราซิล โคลอมเบีย รวมถึงสหรัฐฯ ที่ได้แรงผลักจากมาตรการภาษีศุลกากร ด้านตุรกีและอาร์เจนตินาเผชิญเงินเฟ้อในอัตราเลข 2 หลัก
รายงานระบุด้วยว่า นโยบายการเงินผ่อนคลายลงอย่างมากตั้งแต่เดือนเมษายน ทั้งในเขตเศรษฐกิจพัฒนาแล้วและเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ โดยความผันผวนของตลาดการเงินยังอยู่ในระดับต่ำ ผลตอบแทนจากหุ้นที่แข็งแกร่ง ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ และการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับสกุลเงินส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในระยะยาว สะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความเสี่ยงทางการคลัง ราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้น และการป้องกันความเสี่ยงสำหรับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่เพิ่มขึ้นบ่งชี้ถึงความไม่แน่นอนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ขยับขึ้นสูงมาก อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ (price-earnings-P/E) กำลังเข้าใกล้ระดับที่เคยเกิดขึ้นครั้งสุดท้ายในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ซึ่งเป็นช่วงที่ฟองสบู่ดอตคอมพุ่งสูงสุด
รายงานล่าสุดของ OECD คาดการณ์ว่า การเติบโตของ GDP โลกในปี 2568 จะแตะที่ร้อยละ 3.2 ก่อนจะชะลอเหลือร้อยละ 2.9 ในปี 2569 และขยับเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.1 ในปี 2570 โดยเริ่มชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มผ่อนคลายลง และอัตราภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นสำหรับสินค้านำเข้าไปยังสหรัฐฯ และจีนจะส่งผลต่อต้นทุนทางธุรกิจและราคาสินค้าขั้นสุดท้ายมากขึ้น ทำให้การลงทุนและการค้าชะลอตัวลง ส่วนความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายจะยังกระทบต่อความต้องการบริโภคทั่วโลก อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มจะฟื้นตัวในปี 2569 เนื่องจากผลกระทบจากมาตรการกำแพงภาษีเริ่มคลี่คลาย เงื่อนไขทางการเงินและนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่เอื้ออำนวย และอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง โดยเขตเศรษฐกิจเกิดใหม่ในเอเชียจะมีสัดส่วนการเติบโตมากสุด ทั้งนี้ การคาดการณ์ดังกล่าวอยู่บนสมมติฐานที่ว่าอัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไปตลอดระยะเวลาการคาดการณ์ที่เหลือ ท่ามกลางความท้าทายด้านกฎหมายในสหรัฐฯ
เมื่อแยกย่อยแต่ละเขตเศรษฐกิจ พบว่า GDP สหรัฐฯ น่าจะชะลอตัวลง เนื่องจากผลกระทบของกำแพงภาษีต่อการนำเข้าสินค้า การลดการจ้างงานเจ้าหน้าที่รัฐ จำนวนผู้อพยพที่ลดลง โดยในปี 2569 มีแนวโน้มที่ GDP จะเติบโตร้อยละ 1.7 และขยับเป็นร้อยละ 1.9 ในปี 2570 สำหรับเศรษฐกิจญี่ปุ่นน่าจะเติบโตปานกลาง อยู่ที่ร้อยละ 0.9 ทั้งในปี 2569 และ 2570 ด้านเกาหลีใต้น่าจะฟื้นตัวแตะร้อยละ 2.1 ในทั้งปี 2569 และ 2570 ส่วนยูโรโซนจะชะลอตัวลงเล็กน้อยแตะร้อยละ 1.2 ในปี 2569 ก่อนขยับเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 1.4 ในปี 2570
สำหรับเขตเศรษฐกิจรายใหญ่อันดับ 2 ของโลกอย่าง “จีน” มีแนวโน้มที่ GDP จะชะลอตัวลง ท่ามกลางความท้าทายที่รุมเร้า ทั้งมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ปัญหาที่ยืดเยื้อในภาคอสังหาริมทรัพย์และการสนับสนุนทางการคลังที่น่าจะลดลง โดยคาดว่า GDP ในปี 2569 น่าจะโตที่ร้อยละ 4.4 และขยับเหลือร้อยละ 4.3 ในปี 2570 ส่วนยักษ์เอเชียอีกราย “อินเดีย” น่าจะเติบโตในระดับที่สูง แม้จะชะลอลงเล็กน้อย ประเมินว่าในปี 2569 น่าจะขยายตัวร้อยละ 6.2 และในปี 2570 โตที่ร้อยละ 6.4
รายงานฉบับล่าสุดยังประเมินว่า การค้าโลกในปี 2568 น่าจะโตที่ร้อยละ 4.2 สะท้อนถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ไว้ในช่วงครึ่งปีแรก แต่การเติบโตจะชะลอตัวลงเหลือร้อยละ 2.3 ในปี 2569 เนื่องจากผลกระทบจากมาตรการกำแพงภาษีเห็นผลแบบเต็ม ๆ จากนั้นการค้าโลกจะเริ่มฟื้นตัวที่ร้อยละ 2.8 ในปี 2570
น่าสังเกตว่า การขยายตัวด้านการค้าหลังจากนี้จะแตกต่างจากช่วงก่อนวิกฤตโควิด โดยตลาดเกิดใหม่จะมีสัดส่วนการค้าเพิ่มขึ้น แม้ว่าภูมิภาคอื่น ๆ จะเติบโตช้าลง โดยเฉพาะสัดส่วนการค้าของภูมิภาคอาเซียนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในปี 2569-2570 ในทางกลับกัน การค้าของจีนจะมีสัดส่วนลดลงเล็กน้อย เช่นเดียวกับเขตเศรษฐกิจพัฒนาแล้วที่มีสัดส่วนขับเคลื่อนการค้าโลกลดลง โดยเฉพาะยุโรปและอเมริกาเหนือ
รายงานยังเตือนถึงความเสี่ยงที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ได้แก่ อัตราภาษีศุลกากรที่อาจเพิ่มขึ้นอีก อาทิ กลุ่มผลิตภัณฑ์ยา และความเป็นไปได้ที่ประเทศต่าง ๆ จะประกาศควบคุมการส่งออกสินค้าสำคัญ อย่างกรณีแร่หายากที่จีนออกกฎคุมเข้ม ซึ่งจะเพิ่มความตึงเครียดและความไม่แน่นอนด้านการค้า นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่อาจพุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ในปัจจุบัน เช่นเดียวกับความเสี่ยงในตลาดการเงินที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนสนใจ AI มากเกินไป อาจนำไปสู่การปรับฐานอย่างกะทันหัน ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรง และอาจทำให้การลงทุนด้านศูนย์ข้อมูล (Data Center) หยุดชะงัก นอกจากนี้ ความเสี่ยงในตลาดเกิดใหม่และเขตเศรษฐกิจกำลังพัฒนาได้ลดลง แต่ยังคงมีจุดอ่อนอยู่บ้างจากหนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับสูง
รายงานฉบับนี้ OECD ยังได้คาดการณ์การเติบโตของ GDP ของประเทศขนาดใหญ่ในกลุ่มอาเซียน ซึ่งไทยยังคงมีแนวโน้มเติบโตตามหลังเพื่อนบ้าน โดย “อินโดนีเซีย” มีแนวโน้มโตที่ร้อยละ 5.0 ในปี 2569 และขยับเป็นร้อยละ 5.1 ในปี 2570 ส่วนมาเลเซียน่าจะโตร้อยละ 4.4 ในปี 2569 ก่อนจะชะลอเหลือร้อยละ 4.1 ในปี 2570 ด้านฟิลิปปินส์มีแนวโน้มที่จะขยายตัวร้อยละ 5.1 ในปีนี้ และขยับขึ้นที่ร้อยละ 5.8 ในปี 2570 ส่วนเศรษฐกิจเวียดนามมีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 6.2 ในปี 2569 จากนั้นจะชะลอเหลือร้อยละ 5.8 ในปี 2570 ขณะที่ไทยมีแนวโน้มจะขยายตัวที่ร้อยละ 1.5 ในปี 2569 ก่อนจะขยับขึ้นแตะร้อยละ 2.6 ในปี 2570
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
