FEMA เผยดัชนีภัยพิบัติ ที่ไหนในสหรัฐฯน่าอยู่? และที่ไหนต้องหนีภัยพิบัติ?

สำนักจัดการภาวะฉุกเฉินแห่งชาติของสหรัฐฯ (FEMA) ได้เผยแพร่ "แผนที่ความเสี่ยง" (Risk Map) ซึ่งจัดอันดับความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติในทุกมณฑลและเขตสำรวจสำมะโนประชากร (Census tract) ทั่วสหรัฐอเมริกา โดยอ้างอิงจากสามปัจจัยหลัก ได้แก่ ความน่าจะเป็นที่จะเกิดภัยพิบัติ, ความเปราะบางทางสังคมของประชากร, และความสามารถในการฟื้นฟูของชุมชนหลังเกิดภัย
แผนที่นี้ครอบคลุมภัยพิบัตินานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นพายุเฮอริเคน, น้ำท่วม, ภัยแล้ง, พายุฤดูหนาว, คลื่นความร้อน, อากาศหนาวจัด, ฟ้าผ่า, ลมแรง, แผ่นดินไหว, หิมะถล่ม, การปะทุของภูเขาไฟ และอื่น ๆ อีกมากมาย
พื้นที่เสี่ยงภัยสูง ได้แก่รัฐชายฝั่งโดยเฉพาะแคลิฟอร์เนียและฟลอริดา
จากแผนที่ในระดับมณฑล พื้นที่ที่จัดว่ามีความเสี่ยงสูงที่สุดคือรัฐแคลิฟอร์เนีย, ฟลอริดา และพื้นที่ชายฝั่งทั่วประเทศ โดยเฉพาะบริเวณที่มีประชากรหนาแน่นหรืออยู่ใกล้ทะเล รัฐเท็กซัสมีหลายพื้นที่จัดอยู่ในระดับความเสี่ยงปานกลางถึงสูง แม้จะมีบางส่วนที่อยู่ในระดับความเสี่ยงต่ำ เช่นเดียวกับรัฐวอชิงตัน, โอเรกอน และเนวาดา โดยในระดับเขตสำรวจสำมะโนประชากร พบว่า แม้ในเมืองใหญ่ พื้นที่ย่อยภายในเมืองก็มีความเสี่ยงที่หลากหลาย บางเขตอาจมีความปลอดภัยมากกว่าที่อื่น
พื้นที่เสี่ยงภัยต่ำ ได้แก่รัฐในแถบนิวอิงแลนด์และรัฐโอไฮโอ
ในขณะที่รัฐเวสต์เวอร์จิเนียและไวโอมิงไม่มีมณฑลใดเลยที่จัดอยู่ในระดับความเสี่ยงปานกลางขึ้นไป แต่เมื่อดูในระดับ Census tract พบว่า ภาพรวมของรัฐเหล่านี้กลับไม่ได้ปลอดภัยเท่าที่คิด สำหรับภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ โดยเฉพาะรัฐเวอร์มอนต์ ถือเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุด มีเขตที่อยู่ในระดับความเสี่ยงปานกลางน้อยมากหรือไม่มีเลย ส่วนโรดไอแลนด์ก็นับว่าอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงต่ำเช่นกัน โดยไม่มีเขตใดอยู่ในระดับปานกลาง ขณะที่นิวแฮมป์เชียร์มีเพียงเขตเดียวเท่านั้นที่จัดอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงปานกลาง และโอไฮโอมีเพียงสองเขต
.
ส่วนรัฐแมสซาชูเซตส์ส่วนใหญ่จัดอยู่ในระดับความเสี่ยงต่ำ ยกเว้นพื้นที่บนเกาะมาร์ธา วินยาร์ด ซึ่งจัดอยู่ในระดับความเสี่ยงสูง และสำหรับในระดับเมือง เมืองพิตต์สเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย ถือเป็นเมืองใหญ่ที่มีความเสี่ยงภัยธรรมชาติต่ำที่สุด โดยไม่มีเขตใดเลยที่อยู่ในระดับปานกลางหรือสูง ขณะที่เมืองชาร์ลอตต์ในรัฐนอร์ทแคโรไลนา ก็ไม่มีเขตที่จัดอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงสูงเช่นกัน
ภัยพิบัติรุนแรงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ข้อมูลจากองค์กร Climate Central ชี้ว่า ความถี่ของภัยพิบัติที่มีความเสียหายมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 36,000 ล้านบาท ต่อเหตุการณ์ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2024 สหรัฐฯ พบว่ามีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นถี่เฉลี่ยทุก 2 สัปดาห์ ขณะที่ในปี 1981 ระยะห่างระหว่างเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันคือเกือบ 2 เดือน
อย่างไรก็ตาม แม้แผนที่ของ FEMA จะอิงจากประวัติการประกาศภัยพิบัติทั้งหมดในสหรัฐฯ แต่ไม่ได้ปรับคะแนนความเสี่ยงจากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น เช่น พายุเฮอริเคนเฮเลนหรือเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในเท็กซัส ซึ่งพื้นที่เหล่านั้นยังจัดอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากในอดีตมีภัยพิบัติน้อย ดัชนีนี้ยังไม่ได้รวมปัจจัยอื่นที่อาจมีผลต่อการใช้ชีวิต เช่น การตัดไฟฟ้า, อาชญากรรม, ราคาที่อยู่อาศัย หรือราคาน้ำมัน อย่างไรก็ตาม แผนที่นี้สามารถใช้เป็นเครื่องมือวิเคราะห์เชิงลึก โดยสามารถเลือกดูประเภทภัยพิบัติที่สนใจได้เฉพาะเจาะจง เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาย้ายถิ่นฐาน หรือเปรียบเทียบความเสี่ยงในพื้นที่ปัจจุบันกับพื้นที่ที่สนใจจะย้ายไปอาศัยอยู่ในอนาคต
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
