รีเซต

"BLS" ให้เป้า SET ที่ 1,280 หั่น EPS เหลือ 82 บาท ครึ่งหลังยังเสี่ยง แนะเก็บหุ้น "Global Play"

"BLS" ให้เป้า SET ที่ 1,280 หั่น EPS เหลือ 82 บาท ครึ่งหลังยังเสี่ยง แนะเก็บหุ้น "Global Play"
TNN ช่อง16
19 สิงหาคม 2568 ( 14:49 )
30

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการกิจการค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง (BLS) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วง 7 เดือนแรก ให้ผลตอบแทนติดลบ 10.06% เผชิญความไม่แน่นอนจากหลากหลายปัจจัย เช่น มาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ, การเมืองในประเทศ, ภาวะหนี้ครัวเรือนสูงที่รอการแก้ไข, เศรษฐกิจโลกชะลอตัว รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่สามารถขับเคลื่อนได้อย่างเต็มที่จากการเมืองขาดเสถียรภาพ

ส่งผลให้นักวิเคราะห์ทยอยปรับลดประมาณการเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียนลง โดยฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ของ BLS ปรับประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 68 ลงจาก 92 บาทต่อหุ้น เหลือ 82 บาทต่อหุ้น จากงบการเงินครึ่งปีแรก (อัตราการปรับลดประมาณการกำไรต่อหุ้นน้อยลงในเดือน มิ.ย.-ก.ค. ที่ผ่านมา)

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ BLS ประเมินว่าในช่วงไตรมาส 3/68 จะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจไทยแตะระดับต่ำสุด ก็จะเห็นการเปรับฐาน โดยมองแนวรับรอบนี้ในโซน 1,150 จุด ก่อนจะเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นในไตรมาส 4/68 หากความเสี่ยงทางการเมืองไม่มีความรุนแรง และสามารถหาจุดลงตัวได้

ขณะเดียวกัน มาตรการภาษีของสหรัฐฯ มีแนวโน้มว่าจะไม่ได้ส่งผลกระทบเกินกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไทยใกล้เคียงกับกลุ่มอาเซียนด้วยกัน ภายใต้เงื่อนไขดังกล่าวมีโอกาสที่หุ้นไทยจะค่อย ๆ ฟื้นตัวสู่เป้าหมาย SET Index สิ้นปี 68 ในกรอบ 1,280 จุด อ้างอิงสมมติฐานการเติบโตของกำไร บจ.ที่ 6.6% มาที่ 82 บาท/หุ้น (จากเดิม 90 บาท/หุ้น) และค่า P/E เฉลี่ย 15.7 เท่า

ภายใต้กรอบดังกล่าว แนะนำนักลงทุนใช้จังหวะที่ตลาดปรับฐานทยอยสะสมหุ้น โดยมองว่า หุ้นกลุ่ม “Global Play” ที่มีการเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกและมูลค่าหุ้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ย เช่น กลุ่มปิโตรเคมี, กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และผู้ผลิตอาหารสัตว์ มีแนวโน้มจะเป็นกลุ่มนำตลาดรอบนี้

ขณะที่หุ้นกลุ่ม “Domestic Play” ยังถูกกดดันจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ฟื้นตัวช้า กลุ่มที่ถูกกระทบมาก เช่น อสังหาริมทรัพย์, การก่อสร้าง, ไฟแนนซ์เช่าซื้อ, สินเชื่อบุคคล และสื่อมีเดีย ขณะที่กลุ่มที่ได้รับผลกระทบปานกลางถึงน้อย ได้แก่ ธนาคาร, ร้านสะดวกซื้อ, โรงพยาบาล และท่องเที่ยว

“หุ้นไทยปรับตัวลงแรงจนใกล้เคียงระดับที่เคยเกิดขึ้นช่วงวิกฤตการณ์สำคัญในอดีต เช่น วิกฤตเลห์แมน บราเธอร์ส, วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง และต่ำกว่าช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เราจึงประเมินว่า Downside ของตลาดหุ้นไทยมีจำกัด โดยระดับ 1,050 -1,080 จุด มีความเป็นไปได้น้อยที่จะเกิดขึ้นอีก

อย่างไรก็ดี ในส่วนของปัจจัยภายนอกประเทศนั้น เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัว หากอัตราเงินเฟ้อได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประมาณ 1-2 ครั้ง รวม 0.50% ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และอาจปรับลดต่อเนื่องในปี 69 ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1 ครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี และอีก 1 ครั้งในปี 69 สอดคล้องกับแนวโน้มเงินเฟ้อไทยที่ยังอยู่ระดับต่ำที่ประมาณ 1%” นายชัยพร กล่าว

ส่วนประเด็นการเมือง มองเป็นปัจจัยระยะสั้น วันที่ 29 ส.ค.ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยคดีคลิปเสียงการสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา

หากน.ส.แพทองธาร ลาออก และเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีเป็นนายชัยเกษม นิติสิริ พรรคเพื่อไทยต้องการยื้อให้นานเพื่อให้พร้อมกับการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงต้นปีหน้า ซึ่งเชื่อว่าจะไม่มีผลต่อตลาดหุ้นมากนัก แต่อาจจะย่อตัวบ้างเป็นจังหวะให้สะสม ยกเว้น นายกฯประกาศยุบสภา ซึ่งเห็นว่ามีความเป็นไปได้น้อย แต่หากเกิดขึ้นก็มองว่าตลาดน่าจะมีแรงขายช่วงสั้น หรืออาจจะดีใจที่มีการเลือกตั้งครั้งใหม่

สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดจะได้รับผลกระทบเชิงบวกจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ เช่น กลุ่มผู้ผลิตอาหารสัตว์ เช่น BTG TFG GFPT และ CPF ซึ่งได้รับประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบนำเข้าที่ลดลง โดยเฉพาะข้าวโพดและถั่วเหลือง ประเมินว่าจะมีผลบวกต่อกำไรเฉลี่ย 13.7% โดย BTG จะได้รับผลบวกสูงสุด 16.49%

ในทางกลับกัน กลุ่มที่อาจได้รับผลกระทบมาก ได้แก่ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะ DELTA ที่มีสัดส่วนรายได้จากตลาดสหรัฐฯ ประมาณ 20-30% แต่ DELTA อาจได้รับแรงสนับสนุนจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Data Center, Cloud และ AI ที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง

ขณะที่กลุ่มส่งออกอาหาร เช่น TU และบริษัทลูก คือ ITC ที่มีรายได้จากตลาดสหรัฐฯ ค่อนข้างสูง อาจได้รับผลกระทบจากต้นทุนภาษี แต่ยังมีโอกาสบรรเทาผลกระทบผ่านการเจรจากับผู้นำเข้าในสหรัฐฯ

ด้านนายพิริยพล คงวาณิช ผู้จัดการ นักกลยุทธ์ปัจจัยพื้นฐาน บล.บัวหลวง กล่าวว่า ในครึ่งปีหลังเข้าสู่โหมด “Reality Check” มีความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ และความไม่แน่นอนทางการเมือง น่าจะเห็นผลกระทบชัดเจนในไตรมาส 3/68 ถึงต้นไตรมาส 4 แต่ก็มองเป็นจังหวะสะสมหุ้นแบบ Selective เมื่อสถานการณ์กลับมาปกติตลาดหุ้นน่าจะปรับตัวขึ้นในไตรมาส 4 ต่อเนื่องถึงปีหน้า คาดเป้าหมายดัชนี SET ปี 69 ที่ 1,400-1,450 จุด

การจัดพอร์ต กลยุทธ์ก็เปลี่ยนไปมากจากเมื่อก่อน buy and hold แต่ปัจจุบันเราอยู่ในช่วงหา new S-Curve ภาพระยะสั้นแนะให้เล๋นรอบมากขึ้น การจัดพอร์ต แบ่งเป็นพอร์ตระยะสั้นและระยะยาว โดยมองว่าตลาดหุ้นไทยก็ยังมีโอกาสอยู่ โดยเฉพาะหุ้นปันผลสูงและหุ้นที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ถ้าหาหุ้นพวกนี้ได้จะทำให้เราเพิ่มพอร์ตหุ้นปันผลที่เป็นพอร์ต Inrecurring Income

ขณะที่การเติบโตระยะยาวของเศรษฐกิจไทย เมื่อพิจารณาจากที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เม็ดเงินลงทุน (FDI) เข้ามาในกิจการประเภทดิจิทัล คือ ดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนคิดเป็นครึ่งหนึ่งของมูลค่าการลงทุนที่ BOI อนุมัติในแต่ละครั้ง ดังนั้น แนะหุ้นที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ กลุ่มสื่อสารและโรงไฟฟ้า

นอกจากนี้ แนะให้ 2 ธีมหลัก ได้แก่ Earning Play เน้นหุ้นที่กำไรในไตรมาส 2/68 ไม่ต่ำคาดมากนักหรือต่ำกว่าคาดไม่เกิน 10% รายได้ไม่ได้หตตัวแรง หรือหดตัวไม่เกิน 5% แนวโน้มกำไรในไตรมาส 3 เติบโต YoY หรือฟื้นตัว QoQ รวมถึงหุ้นที่ไม่เห็นภาพการปรับตัวกำไรลงแรงในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา และมีปัจจัยบวกหนุนการฟื้นตัวชัดเจน อาทิ GULF, ADVANC มองภาพเติบโตระยะยาว

ส่วนเทรดดิ้งเห็นภาพยอดขายสินค้าไอทีเด่นๆ ทั้ง COM7, ADVICE นอกจากนี้ ยังมีหุ้นที่รับประโยชน์บาทอ่อนในปีหน้า ได้แก่ DELTA ดีแต่แพง แต่สัดส่วนรายได้ 40% เชื่อมโยงกับเทคโนโลยี AI และ Data Center , ITC ต้นทุนถูกลงจากนำเข้าถั่วเหลือง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากสหรัฐหนุนกำไร

ส่วนอีกธีมเป็น Global Play เชื่อมกับเศรษฐกิจโลก มองหุ้นกลุ่มปิโตรเคมี คาดไตรมาส 3/68 ตลาดมีความผันผวนอาจกดดันราคาหุ้นปิโตรเคมีต่อ แต่ระดับ Valuation ถูกมากแล้ว ขณะที่ส่วนต่างผลิตภัณฑ์ (Spread) อยู่ต่ำกว่าจุดคุ้มทุน ลดความเสี่ยงจากการเกิดซัพพลายใหม่ และช่วยจำกัด downside คาดว่าการฟื้นตัวจะเห็นชัดเจนในไตรมาส 4/68 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก หุ้นที่มองว่ามีโอกาสฟื้น สาย HDPE คือ PTTGC , SCC

กลุ่มที่ยังอ่อนแอ ได้แก่ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ครึ่งปีหลังคาดยังไม่ฟื้นตัว เพราะดีมานด์ยังไม่มา ขณะที่หนี้ครัวเรือนสูง แบงก์ไม่ปล่อยกู้ ดังนั้น คาดว่าผู้ประกอบการจะต้องเร่งระบายสต๊อกด้วยการเพิ่มโปรโมชั่นซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่ม และกลุ่มการเงิน แนะเทรดดิ้ง เพราะยังมีความเสี่ยงหนี้เสียสูงขึ้น

ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ BLS ให้น้ำหนักการลงทุน “ตราสารหนี้” ในระดับสูงกว่าปกติที่ประมาณ 56% (จากระดับปกติไม่เกิน 20%) ในการจัดพอร์ตลงทุน เพื่อรับประโยชน์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยลดลง และสามารถควบคุมความผันผวนของพอร์ตการลงทุนได้ดี ขณะที่ให้น้ำหนักในหุ้น 48% และทองคำ 6% ซึ่งการลงทุนในหุ้นแนะกระจายไปตลาดต่างประเทศ ได้แก่ หุ้นสหรัฐฯ 11%, ญี่ปุ่น 4%, จีน (เน้นกลุ่มเทคโนโลยี) 7%, เวียดนาม 7%, อินเดีย 4% และไทย 5%

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง