ทริสฯ จัดอันดับหุ้นกู้ชุดใหม่ UNIQ ที่ “BB+” แนวโน้ม “Stable”

#ทันหุ้น - ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 3.0 พันล้านบาทและครบกำหนดชำระภายใน 3 ปีของ บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BB+” ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทที่ระดับ “BBB-” และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “BB+” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” อันดับเครดิตหุ้นกู้ของบริษัทที่ต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรอยู่หนึ่งขั้นสะท้อนถึงสิทธิเรียกร้องในสินทรัพย์ของบริษัทที่ด้อยกว่าของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน เนื่องจากหนี้ส่วนใหญ่ของบริษัทมีหลักประกัน ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ไปใช้ชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดประมาณ 3 พันล้านบาทในเดือนกุมภาพันธ์ 2569
อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่งของบริษัทในการรับงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกจำกัดด้วยระดับหนี้สินที่อยู่ในระดับสูง ลักษณะของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่มีความผันผวนตามวงจรอุตสาหกรรม และการพึ่งพางานก่อสร้างขนาดใหญ่เพียงไม่กี่โครงการเป็นอย่างมาก
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานรวม 5.5 พันล้านบาท ซึ่งสูงกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดไว้เล็กน้อย และมีกำไรจากการดำเนินงานที่ดีกว่าคาด โดยมี EBITDA อยู่ที่ 1.3 พันล้านบาท และ EBITDA Margin ประมาณ 23% แม้ว่าบริษัทจะยังมีภาระหนี้สูงจากการใช้เงินกู้เพื่อรองรับระดับลูกหนี้การค้าและลูกหนี้ที่ยังไม่เรียกเก็บที่อยู่ในระดับสูง แต่ก็เริ่มมีสัญญาณของการปรับตัวดีขึ้น โดยได้รับแรงสนุนจากเงินที่ได้รับจากโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อ EBITDA ลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 7 เท่าในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 จากระดับ 8–13 เท่าในช่วงปี 2565–2567
มองไปข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่าระดับหนี้สินของบริษัทจะยังคงขึ้นอยู่กับความสามารถในการลดลูกหนี้การค้าและลูกหนี้ที่ยังไม่เรียกเก็บ แม้ว่าบริษัทจะได้รับเงินจากโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง แต่ลูกหนี้จากโครงการอื่นยังคงเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้ภาระหนี้สินที่ปรับตัวดีขึ้นถูกลดทอนลงบางส่วน ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถลดลูกหนี้รวมลงเหลือประมาณ 2.4–2.6 หมื่นล้านบาท โดยมีรอบการเก็บหนี้อยู่ที่ 880–890 วันในช่วงปี 2568–2570 อัตราส่วนหนี้สินต่อ EBITDA แม้จะปรับตัวดีขึ้น แต่ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ระดับ 7.7–8.0 เท่า ขณะที่อัตราส่วน EBITDA ต่อดอกเบี้ยจ่ายคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.9–2.0 เท่าในช่วงเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ตาม มูลค่างานในมือส่วนใหญ่ของบริษัทยังคงเป็นโครงการของภาครัฐ ซึ่งอาจทำให้ความท้าทายในการบริหารจัดการลูกหนี้การค้ายังคงมีอยู่ต่อไป
ทริสเรทติ้งประเมินสภาพคล่องของบริษัทอยู่ในระดับตึงตัวในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 บริษัทมีแหล่งของสภาพคล่องซึ่งประกอบด้วยเงินสดรวม 3.2 พันล้านบาทและวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้ประมาณ 3 พันล้านบาท คาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานต่อปีประมาณ 1.0–1.1 พันล้านบาท ขณะที่แหล่งการใช้เงินในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะรวมถึงเงินกู้ระยะสั้น 1.27 หมื่นล้านบาท หุ้นกู้ 5.4 พันล้านบาท หนี้สินตามสัญญาเช่า 0.2 พันล้านบาท นอกจากนี้ คาดว่าเงินลงทุน (CAPEX) จะอยู่ที่ประมาณ 0.5 พันล้านบาท ดังนั้น ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจำเป็นต้องบริหารจัดการภาระหนี้อย่างรอบคอบ
เงินกู้ระยะสั้นส่วนใหญ่ของบริษัทมีหลักประกันจากโครงการก่อสร้าง โดยการชำระคืนเงินกู้เหล่านี้มีความยืดหยุ่นพอสมควรเนื่องจากโดยปกติธนาคารมักขยายหรือปรับระยะเวลาชำระหนี้ให้สอดคล้องกับระยะเวลาของโครงการ ทั้งนี้ บริษัทจะชำระหนี้ระยะสั้นโดยใช้เงินที่ได้รับจากเจ้าของโครงการซึ่งส่วนใหญ่เป็นหน่วยงานภาครัฐ ส่วนหนี้สินตามสัญญาเช่าและเงินลงทุนจะใช้เงินทุนจากการดำเนินงาน ขณะที่หุ้นกู้จะได้รับการชำระคืนบางส่วนจากการออกหุ้นกู้ใหม่และเงินสดในมือ
ข้อกำหนดทางการเงินที่สำคัญของหุ้นกู้ของบริษัทกำหนดให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนเงินกู้ที่มีดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนทุนต้องไม่เกิน 3.5 เท่า ซึ่งบริษัทสามารถปฏิบัติได้ตามข้อกำหนด เนื่องจากอัตราส่วนดังกล่าวของบริษัท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 อยู่ที่ระดับประมาณ 1.9 เท่า ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดดังกล่าวได้ตลอดช่วงเวลาประมาณการ
ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 บริษัทมีหนี้สินรวมประมาณ 2.16 หมื่นล้านบาท โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนจำนวน ประมาณ 1.27 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นหนี้ของบริษัทและของบริษัทย่อยต่าง ๆ ดังนั้น อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมของบริษัทจึงอยู่ที่ระดับ 59% ทริสเรทติ้งมองว่าเจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของบริษัทมีความเสียเปรียบในด้านลำดับสิทธิเรียกร้องเหนือสินทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับเจ้าหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อน
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันในงานก่อสร้างโครงการภาครัฐไว้ได้ นอกจากนี้ ความสามารถในการทำกำไรและภาระหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะเป็นไปตามที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับเพิ่มขึ้นหากผลการดำเนินงานของบริษัททำได้ดีกว่าเป้าหมายของทริสเรทติ้งอย่างมีนัยสำคัญและสามารถลดระดับลูกหนี้การค้าและลูกหนี้การค้าที่ยังไม่เรียกเก็บเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ต่ำกว่า 7 เท่าอย่างต่อเนื่อง ในทางกลับกัน อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากผลการดำเนินงานและภาระหนี้สินทางการเงินของบริษัทถดถอยลงจากระดับที่คาดการณ์ไว้
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 26 ธันวาคม 2567 |
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (UNIQ)
อันดับเครดิตองค์กร: | BBB- |
อันดับเครดิตตราสารหนี้: | |
UNIQ262A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 | BB+ |
UNIQ267A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,441.5 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 | BB+ |
UNIQ276A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 902.8 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 | BB+ |
UNIQ279A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,168.4 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 | BB+ |
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 3 ปี | BB+ |
แนวโน้มอันดับเครดิต: | stable |
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
