รีเซต

สหรัฐชิงอาเซียนแย่งฐานผลิต HSBCชี้ต้นทุน-แรงงานไม่เอื้อ

สหรัฐชิงอาเซียนแย่งฐานผลิต HSBCชี้ต้นทุน-แรงงานไม่เอื้อ
ทันหุ้น
18 กันยายน 2568 ( 18:06 )
15

#HSBC #ทันหุ้น HSBCวิเคราะห์ สหรัฐจะแย่งเม็ดเงินลงทุนตรง (FDI) จากอาเซียนผ่านมาตรการจูงใจอย่างสิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสักทีเดียว เมื่อต้นทุน และแรงงานในสหรัฐไม่เอื้อต่อการเข้าไปลงทุนและเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการกังวลมากสุด ขณะที่อาเซียนยังมีจุดเด่นที่ไม่ได้แค่เรื่องการลิต แต่เป็นตลาดที่กำลังบริโภคเติบโตด้วย

            นางสาว อิเนส แลม นักเศรษฐศาสตร์ประจำภูมิภาคเอเชีย  ธนาคารเอชเอสบีซี หรือ HSBC เผยว่า อาเซียนเป็นดาวเด่นในเรื่องการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ ทั้งนี้ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่เข้ามาในอาเซียน มีมูลค่าถึง 2.26 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2567 แต่ทั้งนี้ สำนักงานสหประชาชาติด้านการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลหลักเรื่อง FDI มักจะไม่นับรวมเงินที่ไหลผ่านประเทศกลางในยุโรปบางประเทศ เมื่อตัดข้อมูลส่วนนี้ออก จะพบว่าFDI ทั่วโลกลดลง 11% ทั้งในปี 2566 และ 2567 

            อย่างไรก็ตาม ทิศทางการลงทุนโลกอาจเปลี่ยนไป เนื่องจากรัฐบาลภายใต้การนำของทรัมป์ได้ทำข้อตกลงการค้ากับหลายประเทศ โดยให้ประเทศเหล่านั้นลงนามว่าจะนำเงินหลายพันล้านดอลลาร์ไปลงทุนในสหรัฐ นอกจากนั้น รัฐบาลสหรัฐ ยังต้องการให้บริษัทอเมริกันย้ายฐานโรงงานการผลิตกลับไปตั้งยังสหรัฐ อีกด้วย หากข้อตกลงเหล่านี้เป็นจริง เม็ดเงินที่เคยนำมาลงทุนในอาเซียนอาจถูกโยกไปลงทุนในสหรัฐแทน โดยประมาณการว่าราว 40% ของแหล่งเงินลงทุน FDI ในอาเซียน อาจได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้

*ย้ายฐานผลิตไม่ง่าย

แต่การบังคับให้บริษัทเอกชนย้ายฐานการลงทุนนั้นไม่ง่าย เพราะสหรัฐเองก็มีปัญหาด้านการผลิตหลายประการที่ทำให้การย้ายฐานโรงงานกลับประเทศไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งนี้ แม้อนาคตจะไม่แน่นอน แต่เชื่อว่าอาเซียนจะสามารถผ่านพ้นปัญหานี้ไปได้ และจะยังคงดึงดูด FDI ได้อย่างแข็งแกร่งต่อไป

            สหรัฐยังคงเป็นประเทศที่นำเม็ดเงินลงทุนเข้าสู่อาเซียนสูงสุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ แต่ในปี 2567 แม้เม็ดเงินการลงทุนจากสจากสหรัฐมายังอาเซียนยังคงเป็นอันดับหนึ่ง แต่ก็ลดลงครึ่งหนึ่งจากปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม เม็ดเงินลงทุนจากสหรัฐที่ลดลงนั้น ก็รับการชดเชยคืนมาจากเม็ดเงินการลงทุนของประเทศอื่น ๆ ที่เข้าสู่อาเซียน ได้แก่ สหราชอาณาจักร การลงทุนระหว่างประเทศอาเซียนด้วยกัน ญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลี ตามลำดับ

อาเซียนมีเม็ดเงินการลงทุนจากหลายประเทศ ทั้งจากอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชีย แต่ด้วยการกลับมาเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของทรัมป์ ทำให้อาเซียนอาจต้องแข่งขันกับสหรัฐ ทั้งนี้ ในข้อตกลงทางการค้าเดือนกรกฎาคม รัฐบาลสหรัฐ ได้รับคำมั่นจากสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีว่าจะเอาเงินลงทุนรวม 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ไปลงทุนในสหรัฐ ซึ่งการลงทุนรวมจากทั้ง 3 ประเทศนี้คิดเป็น 21% ของเม็ดเงินการลงทุนต่างชาติในอาเซียนในปี 2567เลยทีเดียว

*งัดมาตรการจูงใจ

นอกจากนี้ รัฐบาลสหรัฐ ยังใช้มาตรการกำแพงภาษีและสิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อจูงใจให้บริษัทอเมริกันย้ายฐานการผลิตกลับสหรัฐ ซึ่งหากเป็นจริง การลงทุนของสหรัฐในอาเซียนก็อาจลดลง เพราะสหรัฐ เพียงประเทศเดียวก็ลงทุนในอาเซียน 19% ของมูลค่ารวมทั้งหมดอีกทั้งสหรัฐ ยังลงทุนมากขึ้นในอาเซียนช่วงปี 2565-67 เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิดอีกด้วย

แม้สถานการณ์นี้อาจทำให้ FDI ในอาเซียนลดลง แต่มีเหตุผลหลายประการที่ทำให้ไม่ควรกังวลเกินไป โดยนักวิเคราะห์หลายท่านชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลไม่สามารถบังคับบริษัทเอกชนให้ลงทุนได้ นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่สหภาพยุโรปได้กล่าวว่า เงินลงทุนจะมาจากภาคเอกชนทั้งหมด ซึ่งรัฐบาลไม่มีอำนาจควบคุม ดังนั้น เงินลงทุนจริงที่เกิดขึ้นในสหรัฐอาจน้อยกว่าที่รัฐบาลสหรัฐ คาดหวัง

*ต้นทุน-แรงงานไม่เอื้อ

 การขยายหรือย้ายฐานโรงงานการผลิตในสหรัฐ ไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งจากการสำรวจของ CNBC ในเดือนเมษายน กับธุรกิจสหรัฐ 380 แห่งพบว่า ต้นทุนที่สูงเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในการย้ายห่วงโซ่อุปทานมาสหรัฐ, 21% บอกว่าการหาแรงงานที่มีความสามารถเป็นเรื่องยาก และราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นเพราะภาษีนำเข้า ก็เป็นอุปสรรคการย้ายฐานโรงงานการผลิตกลับประเทศ

อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีนักลงทุนต่างชาติอื่นๆ อีก 60% ในอาเซียน ซึ่ง HSBC เชื่อว่าเม็ดเงินลงทุนจากจีนยังไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่ง เพราะอาเซียนมีบทบาทสำคัญในโครงการ “หนึ่งแถบและหนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative: BRI) ของจีน ตลอดจนบริษัทจีนต้องการกระจายความเสี่ยงโดยการลงทุนในหลากหลายภูมิภาค

ท้ายที่สุดแล้ว อาเซียนยังมีปัจจัยดึงดูดในการลงทุนที่แข็งแกร่ง เชื่อว่าอาเซียนจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันในฐานะจุดหมายการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของโลกได้ดังที่ HSBC เคยวิเคราะห์ไว้ เพราะภูมิภาคนี้มีการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีอย่างแข็งขันทำให้การค้าเปิดกว้างขึ้น ตลาดผู้บริโภคเองก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง และเศรษฐกิจดิจิทัลก็กำลังขยายตัวอย่างแข็งแรง โอกาสในการลงทุนในภูมิภาคนี้จึงไม่ได้จำกัดแค่การผลิต แต่ครอบคลุมหลายภาคส่วนด้วยกัน

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง