รีเซต

จีนครองแชมป์ทำโลกร้อน ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากสุด ส่วนไทยอยู่อันดับ 21 ของโลก

จีนครองแชมป์ทำโลกร้อน ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากสุด ส่วนไทยอยู่อันดับ 21 ของโลก
TNN ช่อง16
11 ตุลาคม 2568 ( 10:30 )
7

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบหลายด้าน โดยอุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้ทะเลร้อนขึ้นและระดับน้ำทะเลสูงขึ้นและมีความเป็นกรดเพิ่มขึ้น ธารน้ำแข็งขั้วโลกละลายเร็วขึ้น ลมพายุรุนแรงขึ้น จนทำให้เกิดภัยธรรมชาติรุนแรงบ่อยขึ้น สะท้อนถึงความเปราะบางของระบบนิเวศโลก สาเหตุสำคัญที่ทำให้โลกมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นล้วนมาจากกิจกรรมของมนุษย์เป็นหลัก ทั้งการผลิตและการบริโภคที่เกินความจำเป็น การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลในภาคอุตสาหกรรม การขนส่ง และการผลิตไฟฟ้า รวมถึงการตัดไม้ทำลายป่าและการขยายตัวของเมือง กิจกรรมเหล่านี้ล้วนเร่งให้ความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งยังลดทอนความสามารถของธรรมชาติในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นำมาสู่สถานการณ์อันน่ากังวล

ฝ่ายวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Research) โดย "สุมิตรา ตั้งสมวรพงษ์" ได้สรุปและวิเคราะห์จากรายงาน GHG Emissions of All World Countries 2025 Report ที่จัดทำโดย Joint ResearchCentre (JRC) สหภาพยุโรป (เผยแพร่เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568) มีประเด็นที่น่าสนใจ 

โดยมีการรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของทุกประเทศทั่วโลกที่เกิดขึ้นในปี 2567 จากข้อมูลสถิติล่าสุดในฐานข้อมูลการวิจัยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก (Emissions Database for Global Atmospheric Research: EDGAR) พบว่า ในปี2567 ทั่วโลกปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมสูงถึง 53,200 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (ล้านตัน CO2eq) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์โดยเพิ่มขึ้น 665 ล้านตัน CO2eq หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 จากปี 2566

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2558-2567) พบว่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  แม้จะลดลงเล็กน้อยในปี 2563 จากการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจในช่วงการแพร่ระบาดรุนแรงของ COVID-19 ก่อนกลับมาเพิ่มสูงขึ้นและ7 แตะระดับสูงสุดใหม่ในปี 2567 หรือเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 1.05 ต่อปีในช่วง 10 ปี

ทั้งนี้ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกถึง 53,200 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2567   นั้น ประมาณร้อยละ 74.5 ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่ปล่อยทั่วโลก เป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล (fossil CO2) และอุตสาหกรรมพลังงานเป็นแหล่งปล่อยใหญ่ที่สุดประมาณร้อยละ 30

จากฐานข้อมูลการวิจัยการปล่อยก๊าซฯ ทั่วโลกรายประเทศพบว่า 10 กลุ่มหรือประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดในปี 2567 ได้แก่ จีน สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป (EU27) อินเดีย รัสเซีย อินโดนีเซีย บราซิลญี่ปุ่น อิหร่าน และซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 37,141 ล้านตัน CO2eq หรือคิดเป็นร้อยละ 69.7 ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมทั่วโลก  โดย 9 อันดับแรกมีปริมาณการปล่อยก๊าซฯสูงกว่า 1,000 ล้านตัน CO2eq

ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบปี 2567 กับปี 2566 พบว่าในปี 2567 จีนปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดในโลก และทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 15,536 ล้านตัน CO2eq หรือคิดเป็นร้อยละ 29.2   ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก  สาเหตุหลักจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งร้อยละ 84.5 ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของจีนเป็นการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลักคืออุตสาหกรรมพลังงาน รองลงมาคือการเผาไหม้ในภาคอุตสาหกรรม และกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรมตามลำดับ ทั้งนี้ ยังพบว่าจีนปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงมากกว่า 2 เท่าของสหรัฐอเมริกาที่มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก

ขณะที่ อินเดีย จีน รัสเซีย อินโดนีเซีย 4 ประเทศที่ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2567 เพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบกับปี 2566 ส่วนรัสเซียและอินโดนีเซียมีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกัน ขณะที่ สหภาพยุโรปและญี่ปุ่นลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้สูงสุด 

จากฐานข้อมูลพบว่า ในปี 2567 ไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดเป็นอันดับ 21 ของโลก และเป็นอันดับ 3 ในอาเซียน รองจากอินโดนีเซียและเวียดนาม โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 จากปี 2566 ซึ่งก๊าซเรือนกระจกส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 67.2  ที่ไทยปล่อยเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ ตามมาด้วยก๊าซมีเทนร้อยละ 19.2 ส่วนใหญ่เกิดจากการผลิตไฟฟ้า การขนส่ง และกระบวนการผลิต

จากข้อมูลในรายงานฉบับนี้แสดงให้เห็นว่า บางประเทศสามารถลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้แล้วขณะที่ไทยยังมีแนวโน้มปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น โดยฝ่ายวิจัยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยระบุว่า ทั่วโลกให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อภาวะโลกเดือดและการเกิดภัยธรรมชาติโดยเริ่มมีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นระบบก่อนจะนำไปสู่การวางแผนและจัดทำฐานข้อมูลที่ชัดเจน เพื่อใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนในการออกมาตรการควบคุมหรือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ

จากนโยบายรัฐบาลไทยประกาศตั้งเป้าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ หรือ Net zero เร็วขึ้น 15 ปี จากเดิมปี 2608 เป็นปี 2593 น่าจะช่วยสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนเร่งปรับตัวให้เท่าทันประเทศอื่นในยุคโลกเดือด

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง