“ภูฏาน” โมเดลโลกสีเขียว ประกาศชัดพัฒนาประเทศ ต้องไม่ทิ้ง “ความสุข” และ “สิ่งแวดล้อม”

นาย “แชร์ริง โทบเกย์” นายกรัฐมนตรีของภูฏาน ระบุว่า บรรดาประเทศตะวันตกซึ่งเป็นผู้ก่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศมากที่สุด จะสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตและความสุขของพลเมืองได้ หากหันมาให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบยั่งยืน
“ภูฏาน” ซึ่งเป็นราชาธิปไตย และตั้งอยู่ในเทือกเขาหิมาลัยตะวันออก ถูกยกให้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความทะเยอทะยานด้านสภาพภูมิอากาศมากที่สุดในโลก สาเหตุสำคัญมาจากความผูกพันของประชาชนกับธรรมชาติ และนโยบายรัฐที่ยึดหลัก “ความสุขมวลรวมประชาชาติ” (GNH) มากกว่าเน้นเพียงตัวเลข GDP
“โทบเกย์” อธิบายว่า แม้ภูฏานมีทรัพยากรจำกัดและมีภูมิประเทศที่ค่อนข้างท้าทาย แต่ประเทศสามารถให้ความสำคัญกับการรับมือโลกร้อน ความก้าวหน้าทางสังคม การอนุรักษ์วัฒนธรรม และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมควบคู่กัน เพราะ “ความสุขและคุณภาพชีวิตของคนรุ่นนี้และรุ่นต่อไป” ถูกวางไว้เป็นศูนย์กลางของนโยบายพัฒนา ขณะที่ประเทศร่ำรวยควรมีศักยภาพมากกว่าและ “จำเป็นต้องทำให้มากกว่านี้”
ในปี พ.ศ. 2566 ภูฏานเพิ่งก้าวพ้นจากกลุ่มประเทศพัฒนาน้อยที่สุดของสหประชาชาติ (LDC) หลังจากพัฒนาคุณภาพชีวิตในหลายด้านมานานกว่า 30 ปี ทั้งด้านการศึกษา สุขภาพ และการลดความยากจน โดยภูฏานไม่ได้เลือกเส้นทางการเติบโตที่ต้องแลกกับสิ่งแวดล้อม แต่กลับปรับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมให้เข้มงวดยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะคุณภาพอากาศ น้ำ และผืนดิน
อย่างไรก็ตาม เมื่อออกจากสถานะ LDC ประเทศกลับเข้าถึงเงินทุนและความช่วยเหลือด้านเทคนิคจากนานาชาติลดลง ทั้งที่ผลกระทบจากโลกร้อน เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง และฝนตกผิดฤดูกาล กลับรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
ภูฏานมีพื้นที่ป่ากว่า 72% ของประเทศ ทำหน้าที่เป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนสำคัญของโลก และเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่มีนโยบายสอดคล้องกับเป้าหมายจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงกว่า 1.5 องศาเซลเซียส ตามความเห็นของ Climate Action Tracker
รัฐธรรมนูญของภูฏานกำหนดชัดว่าประเทศต้องคงพื้นที่ป่าไม้อย่างน้อย 60% และทุกคน ทั้งรัฐบาลและประชาชน มีหน้าที่ปกป้องธรรมชาติ รักษาความหลากหลายทางชีวภาพ และป้องกันการเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ นอกจากนี้ ภูฏานยังห้ามปีนเขาศักดิ์สิทธิ์ และมองว่าภูเขา ป่าไม้ และแหล่งน้ำต่าง ๆ เป็นที่สถิตของสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ปัจจุบัน ภูฏานสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่าที่ปล่อยถึง 5 เท่า แต่ขณะเดียวกันกลับได้รับผลกระทบจากโลกร้อนโดยตรง เนื่องจากพื้นที่ภูเขากำลังร้อนเร็วกว่าค่าเฉลี่ยโลก ทำให้ธารน้ำแข็งละลายเร็ว ทะเลสาบภูเขาเอ่อล้น และชุมชนเกษตรกรรมบางแห่งต้องอพยพ ส่วนค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาถนนเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า
“โทบเกย์” ย้ำว่า โลกพัฒนาแล้วต้องแสดงความรับผิดชอบทั้งในเชิงศีลธรรมและกฎหมาย โดยให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุน เทคโนโลยี และการเพิ่มขีดความสามารถแก่ประเทศกำลังพัฒนา พร้อมทั้งลดการปล่อยคาร์บอนของตนเองอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงตั้งคำมั่นในอนาคต
เมื่อปี พ.ศ. 2567 ภูฏานได้จับมือกับปานามา ซูรินาเม และมาดากัสการ์ ตั้งกลุ่มประเทศคาร์บอนติดลบและคาร์บอนเป็นกลาง (G-Zero) เพื่อเรียกร้องให้ประชาคมโลกยอมรับบทบาทของประเทศที่เสีย “โอกาสทางเศรษฐกิจ” เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม พร้อมผลักดันให้มีการชดเชยหรือสนับสนุนประเทศที่ทำผลงานจริง ไม่ใช่แค่ให้รางวัลกับคำมั่นที่ยังไม่เกิดขึ้น
คาดว่ากลุ่ม G-Zero จะจัดประชุมสุดยอดครั้งแรกที่ภูฏานในปี พ.ศ. 2569 เพื่อแบ่งปันแนวทางแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศและส่งสารถึงประเทศพัฒนาแล้วว่า ถึงเวลาต้องปรับทิศทางการเติบโตให้เป็นมิตรต่อโลก เพราะ “การเติบโตที่แท้จริง ต้องเพื่อความสุขของคน” โดยโทบเกย์ทิ้งท้ายว่า ประเทศร่ำรวยไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปก่อนยุคอุตสาหกรรม แต่จำเป็นต้องทำให้การเติบโตเป็นแบบยั่งยืน เพราะสุดท้ายแล้ว ทั้งการลดคาร์บอนและการเติบโตทางเศรษฐกิจมีเป้าหมายเดียว เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน
เขายกตัวอย่างว่าภูฏานยังเดินหน้าเติบโตทางเศรษฐกิจ ควบคู่กับการปกป้องผืนป่า แหล่งน้ำ และความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งพิสูจน์ว่าประเทศเล็ก ๆ ที่ยังพัฒนาไม่สมบูรณ์สามารถทำให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ ดังนั้น ประเทศที่มีศักยภาพและทรัพยากรมากกว่าจึง “ไม่มีข้ออ้างใด ๆ” ที่จะไม่ทำเรื่องนี้ให้ดีขึ้น เพื่ออนาคตของประชาชนทั่วโลก
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
