รีเซต

สธ.เปิดลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด 12 ก.พ. ผ่านแอพพ์ 'หมอพร้อม'-14กพ.ลุยเข็มแรก

สธ.เปิดลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด 12 ก.พ. ผ่านแอพพ์ 'หมอพร้อม'-14กพ.ลุยเข็มแรก
มติชน
26 มกราคม 2564 ( 09:46 )
190
1

เมื่อวันที่ 26 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 25 ม.ค.ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สธ. นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดสธ. พร้อมด้วย ผู้บริหาร สธ. ได้มีการประชุมทางไกลร่วมกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อำนวยการโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน เพื่อชี้แจงการบริหารจัดการให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระยะที่ 1 สำหรับบุคลากรการแพทย์ ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนส์ โดยนายอนุทิน ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมฯ สั้นฯ ว่า ขณะนี้ระบบสุขภาพ ทั้งสถานพยาบาล บุคลากรและอุปกรณ์ต่างๆ นั้นมีการเตรียมความพร้อมในการฉีดวัคซีนจากบริษัทแอสตราเซเนกาที่จะเข้ามาล็อตแรกต้นเดือนกุมภาพันธ์ 50,000 โดส

 

นพ.โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 กล่าวว่า วันนี้เป็นการประชุมชี้แจงกับ รพ. ทั่วประเทศ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด 800 กว่าหน่วยที่เข้าร่วมประชุมเพื่อเตรียมการฉีดวัคซีนให้ประชาชนเร็วที่สุด หากวัคซีนเข้ามาในสัปดาห์ที่ 1 ของเดือนก็จะพร้อมฉีดให้สัปดาห์ที่ 3 กลางเดือนกุมภาพันธ์

“วัคซีนจะมาต้นกุมภาพันธ์ แล้วจะต้องมาผ่านกระบวนการต่างๆ ก่อน และกระจายวัคซีนได้ในสัปดาห์ที่ 2 จากนั้น คาดว่าประมาณ สัปดาห์ที่ 3 ถึงจะสามารถฉีดได้ แต่ปลัดสธ.เสนอให้ฉีดวันที่ 14 กุมภาพันธ์ อย่างไรก็ตามการฉีดก็ต้องเป็นไปตามความสมัครใจ โดยให้บุคลากรการแพทย์ที่ทำงานหน้าด่านในพื้นที่เสี่ยงลงทะเบียนได้ที่แอพพลิเคชั่น “หมอพร้อม” วันที่ 12 กุมภาพันธ์ ส่วนประชาชนกำลังพิจารณาช่องทางการลงทะเบียนที่เหมาะสมอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ท่านรองนายกฯ ได้เน้นย้ำว่าการฉีดต้องเป็นธรรม โปร่งใส ไม่ให้มีการเหลื่อมล้ำ” นพ.โสภณ กล่าว

 

โดยหลักการที่จะฉีดวัคซีนใน 50,000 โดสแรกคือ 1.กลุ่มเสี่ยงในการเกิดโรค 2.บุคลากรสาธารณสุขเพื่อให้ระบบเดินไปได้ และ 3.เพื่อให้เศรษฐกิจเดินได้ แต่เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน ก็อาจจะต้องฉีดในบุคลากรสาธารณสุขก่อน ขณะที่ วัคซีนที่เข้ามาล็อตแรก 50,000 โดส ก็จะต้องเลือกพื้นที่เสี่ยงที่สุดในการฉีด เช่น บุคลากรการแพทย์ทั้งภาครัฐและเอกชน ที่ทำงานหน้าด่านในพื้นที่เสี่ยง เช่น จังหวัดสมุทรสาคร กรุงเทพมหานคร(กทม.) อ.แม่สอด จ.ตาก และภาคใต้ ซึ่งจะคณะกรรมการฯ และคณะอนุกรรมการให้วัคซีนฯ จะต้องประชุมหาข้อสรุปภายในวันศุกร์ที่ 29 มกราคมนี้

 

“โดยการฉีดวัคซีนก็มีผลข้างเคียงได้อาจจะ 1 ต่อล้าน ก็ต้องตามดูจากประเทศอื่นๆ ส่วนในประเทศไทยเราได้เตรียมการอยู่ จึงต้องมีระบบติดตาม โดยต้องฉีดในสถานพยาบาลที่มีอุปกรณ์เครื่องมือพร้อมในการฉีด บางครั้งอาจจะแพ้ง่ายเราก็ต้องช่วยเขาให้ดีที่สุด ซึ่งเราได้เตรียมไว้แล้ว หลังจากนั้นต้องติดตามว่าฉีดแล้ว 7 วัน หรือ 1 เดือนจะมีปัญหาหรือไม่ เพราะความปลอดภัยต้องมาอันดับหนึ่ง โดยระยะแรกจะต้องฉีดในโรงพยาบาลก่อน จึงค่อยพิจารณาให้ฉีดในสถานีอนามัยที่มีความพร้อม หรือรถโมบาย( Mobile Car) ซึ่งอยู่ในแผนแต่ต้องปรับตามสถานการณ์” นพ.โสภณ กล่าว

 

นพ.โสภณ กล่าวว่า บุคลากรที่จะเป็นผู้ฉีดวัคซีนต้องผ่านการอบรมชี้แจง ให้ความรู้ และด้านอุปกรณ์ เช่น ซอฟต์แวร์หมอพร้อม แชทบอท อุปกรณ์ฉีด เข็ม กระบอกฉีดยา(Syringe) ก็เตรียมไว้หมดแล้ว นอกจากนี้ได้สำรวจกลุ่มเป้าหมาย อย่างไรก็ตามต้องเป็นไปตามความสมัครใจ เตรียมลงทะเบียนฉีด การมาฉีดจะต้องพูดคุยทำความเข้าใจและลงนามความยินยอม เมื่อฉีดเสร็จต้องนั่งรออย่างน้อย 30 นาที เมื่อกลับบ้านก็จะต้องติดตามผลต่ออีกในวันที่ 1, 7 และ 28 พร้อมทั้งเตือนให้มาฉีดเข็มที่สองอีก

 

ด้าน นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากการติดตามผลการฉีดวัคซีนของแอสตราเซเนกาที่เริ่มมีการฉีดให้ประชากรในต่างประเทศผลข้างเคียงน้อยกว่าวัคซีนตัวอื่นๆ ถือว่ามีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัยสูง เป็นประโยชน์ในการควบคุมโรคในประเทศ สำหรับเป้าหมายการฉีดระยะแรกจะให้ กลุ่มที่ 1 บุคลากรด่านหน้าทั้งภาครัฐและเอกชน มีประมาณ 6-7 พันคน กลุ่มที่ 2 คือผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวกับงานควบคุมป้องกันโรคโควิด ในพื้นที่เสี่ยง กลุ่มนี้มีอยู่ราวๆ หลักพันคน และกลุ่มที่ 3 ประชากรกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสติดเชื้อแล้วอาการรุนแรง หรือเสี่ยงชีวิต คือผู้สูงอายุ อายุมากกว่า 60 ปี ขึ้นไป ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน หัวใจ และโรคไต ซึ่งมีอยู่หลักแสนคน อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้คือตัวเลขที่มี แต่การฉีดสุดท้ายจะต้องเป็นไปตามความสมัครใจ

รองอธิบดี คร. กล่าวต่อว่า เรื่องเข็มฉีด และอุปกรณ์ที่ต้องใช้นั้นมีเพียงพอเพราะมีการผลิตได้เองในประเทศ โดยสัปดาห์หน้าจะทยอยส่งเข็มฉีดไปยังรพ.ต่างๆ จำนวน 2.5 ล้านชุด สำหรับการเตรียมตัวเพื่อรับวัคซีนก็ไม่มีอะไรมาก แค่ดูแลตัวเองให้แข็งแรง เพราะปกติจะไม่ฉีดวัคซีนให้กับคนมีไข้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง