รีเซต

คุณแม่ที่ทำงานนอกบ้านและเลี้ยงลูกไปพร้อมกัน ต้องเผชิญระดับความเครียดสูงเป็นประวัติการณ์

คุณแม่ที่ทำงานนอกบ้านและเลี้ยงลูกไปพร้อมกัน ต้องเผชิญระดับความเครียดสูงเป็นประวัติการณ์
TNN ช่อง16
14 ตุลาคม 2568 ( 17:33 )
20

ในยุคที่บทบาทของผู้หญิงขยายกว้างขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน “คุณแม่ที่ทำงานนอกบ้าน” กลายเป็นสัญลักษณ์ของความสามารถและความอดทน แต่เบื้องหลังความแข็งแกร่งนั้นกลับแฝงไว้ด้วยภาวะเครียดเรื้อรังที่อาจส่งผลต่อทั้งสุขภาพกายและใจอย่างลึกซึ้ง

การศึกษาทางจิตวิทยาและชีววิทยาเผยว่า คุณแม่ที่ต้องทำงานนอกบ้านขณะดูแลครอบครัวไปพร้อมกัน มีแนวโน้มที่จะมีระดับ คอร์ติซอล (Cortisol)  ฮอร์โมนแห่งความเครียด สูงกว่าค่าเฉลี่ยในกลุ่มผู้หญิงทั่วไป

ความเครียดที่มองไม่เห็นจากการทำงานหลายบทบาท

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย (University of Pennsylvania) และมหาวิทยาลัยลอนดอน (University College London) พบว่า ผู้หญิงที่ต้องรับผิดชอบทั้งงานประจำและงานบ้านมักเผชิญกับ “ความเครียดซ้อน” (Chronic role overload) ซึ่งเกิดจากการทำงานหลายอย่างพร้อมกันโดยไม่มีช่วงพักเพียงพอ

งานวิจัยชี้ว่า เมื่อผู้หญิงพยายามจัดการงานในสำนักงาน ควบคู่กับการดูแลลูกและบ้าน สมองจะหลั่งคอร์ติซอลในระดับสูงต่อเนื่องตลอดวัน แม้ในช่วงเวลาหลังเลิกงาน ซึ่งแตกต่างจากผู้ที่สามารถแยกเวลาทำงานและเวลาส่วนตัวได้ชัดเจน

ระดับคอร์ติซอลที่สูงเรื้อรังนี้ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน การนอนหลับ อารมณ์ และแม้กระทั่งการทำงานของสมองส่วนความจำและการตัดสินใจ

ผลกระทบต่อสุขภาพใจและความสัมพันธ์

ภาวะคอร์ติซอลสูงเรื้อรังอาจทำให้คุณแม่ทำงานรู้สึกเหนื่อยล้า เบื่อหน่าย หรือมีแนวโน้มเกิดภาวะซึมเศร้าได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะเมื่อขาดการสนับสนุนจากคู่สมรสหรือที่ทำงาน

ผลการศึกษาในวารสาร Journal of Family Psychology ยังพบว่า ความเครียดสะสมในกลุ่มคุณแม่ทำงานสัมพันธ์กับระดับความพึงพอใจในชีวิตสมรสที่ลดลง และมีผลต่อคุณภาพการเลี้ยงดูบุตรในระยะยาว

วิธีดูแลสมดุลระหว่างงานและชีวิต

นักจิตวิทยาแนะนำว่า การจัดสรรเวลาและลดภาระที่เกินขีดจำกัดของตนเองเป็นสิ่งสำคัญ เช่น

  • ขอความช่วยเหลือจากคู่สมรสหรือครอบครัวในการดูแลบุตร
  • แบ่งเวลาให้กับการพักผ่อนและดูแลตนเองอย่างน้อยวันละ 15–30 นาที
  • ฝึกสติ (Mindfulness) หรือการหายใจลึก ๆ เพื่อช่วยลดระดับคอร์ติซอลในช่วงเวลาที่ตึงเครียด
  • หากเริ่มมีอาการเครียดเรื้อรัง ควรปรึกษานักจิตวิทยาหรือแพทย์เฉพาะทาง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง