เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้
#ภาวะหุ้น #ทันหุ้น - บล.ฟินันเซียไซรัส มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index จะแกว่งตัวค่อนไปในทางลบต่อเนื่องจากบรรยากาศการลงทุนที่ไม่สดใส โดยมีความเสี่ยงจะหลุดแนวรับ 1,360+- จุดและเกิด Low ใหม่ระยะสั้น ทำให้ Downside จะเปิดไปที่ 1,320-1,330 จุด ภาพรวมตลาดยังคงถูกกดดันจากความกังวลว่า FED อาจคงดอกเบี้ยระยะหนึ่งและมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยช้าลงจากความเสี่ยงเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ทำให้สินทรัพย์เสี่ยงยังคงถูกกดดัน โฟกัสหลักอยู่ที่การประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯ เดือน ธ.ค. คืนพรุ่งนี้ (ตลาดคาดเพิ่มขึ้น 1.65 แสนตำแหน่ง ชะลอตัวจากเดือนก่อนที่ 2.27 แสนตำแหน่ง) หากออกมาต่ำกว่าคาด เราคาดว่าจะช่วยผ่อนคลายบรรยากาศการลงทุนได้บ้าง
ส่วนปัจจัยในประเทศเรายังให้น้ำหนักที่การทยอยคาดการณ์กำไรบจ. 4Q24 ว่าจะเห็นการฟื้นตัว q-q และ y-y ได้แข็งแรงอย่างที่เคยประเมินหรือไม่ หากไม่ได้ต่ำกว่าคาดและสร้าง Downside อย่างมีนัยยะต่อประมาณการปี 2025 เชื่อว่าจะช่วยจำกัด Downside ของดัชนีได้บ้าง แต่ในทางกลับกันหากแนวโน้มออกมาไม่สดใสและเห็นการปรับประมาณการลงจะกดดันดัชนีต่อเนื่อง ระยะสั้นจึงเน้นเลือกหุ้นที่เห็นแนวโน้มกำไรที่ค่อนข้างชัดเจน และมี Dividend Yield ระดับ 3.5-4% ขึ้นไปรองรับ คาดว่าจะ Outperform ตลาดได้ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตาม Message จากคุณทักษิณในงาน Chat with Tony เย็นวันจันทร์หน้า
กลยุทธ์ : เน้น Domestic Play ที่มีแนวโน้มกำไร 4Q24-2025 แข็งแกร่ง // ส่วนที่สะสมในช่วงก่อนหน้ายังถือลงทุนระยะกลาง-ยาว
หุ้นเด่นเดือน ม.ค. : CRC, MASTER, NSL, SEAFCO, SHR
FSSIA Portfolio : BA, CHG, CPALL, KTB, MTC, NSL, RBF, SEAFCO, SHR, WHA
หุ้นเด่นวันนี้ : KTB
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 23.50 บาท
• เราคาดว่า KTB จะได้รับประโยชน์จากรอบการลงทุนใหม่ในปีหน้าจากทั้งภาครัฐและเอกชนขณะเดียวกัน คุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารมีความน่ากังวลน้อยกว่าธนาคารขนาดใหญ่อื่น ๆ โดยคาดว่าอัตราส่วน NPL จะลดลงอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับต้นทุนด้านสินเชื่อที่ปรับลดลง
• เราคงประมาณการสำหรับปี 2024-26 +3.2% CAGR ขณะที่ Valuation ยังค่อนข้างถูก เทรด P/BV อยู่ที่ 0.7 เท่า นอกจากนี้การคงดอกเบี้ยของกนง.และโมเมนตัมจาก FED ที่ลดดอกเบี้ยช้าลง คาดช่วยจำกัด Downside ของกลุ่มธนาคาร
• แนวรับ 21.50//20.50 บาท แนวต้าน 22 บาท
ด้าน บล.ดาโอ คาดดัชนีฯ มี rebound แต่แนวโน้มสิ้นวัน ยังลงต่อได้ ถ้ายังไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาหนุนตลาด ซึ่งตลาดหุ้นไทย เข้าสู่สูญญากาศ คือ ราคาหุ้นวิ่งขึ้น-ลง แบบไร้ทิศทาง และลงมากกว่าขึ้น มีแรงขายเจาะจงในหุ้นบางตัวเข้ามา เกือบทุกวัน (วันก่อน คือกลุ่ม JMART) บวกกับปัจจัยลบในตลาดต่างประเทศที่ดูจะเป็นลบ (จีน+สหรัฐฯ) น่าจะกดดันตลาดหุ้นในวันนี้ต่อ โดยดัชนีฯ หลุดแนวรับสำคัญแนวที่ 2 ลงมาแล้วคือ 1380 และ 1368 จุด)
ตลาดพันธบัตร ผันผวนทั่วโลก แม้จะมาจากปัจจัยเฉพาะประเทศนั้นๆ ก็ตาม แต่เป็นสัญญาณถึงความผิดปกติในตลาดสินทรัพย์ทางการเงิน หรือขาดความสมดุลระหว่างดอกเบี้ยและเศรษฐกิจ ดอลล่าร์แข็งค่าขึ้นมาเรื่อยๆ (Dollar Index =109 จุด) ซึ่งเราได้ติดตามมาตลอด 2 สัปดาห์ว่า ผลกระทบนี้ อาจมาถึงการลงทุนใน Risky Assets ในตลาดเกิดใหม่ด้วย คือ ฝรั่งเทขายเงินลงทุนออก และไทยอาจถูกกระทบ หุ้นที่นักลงทุนต่างประเทศซื้อไว้มาก อาทิ BH, BDMS ถ้าปรับตัวลง อาจเป็น indicator บอกเราว่า ฝรั่งกำลังขายหุ้นไทยอยู่
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ วางแผนออกคำสั่งฝ่ายบริหารหลายฉบับเกี่ยวกับการย้ายถิ่นฐาน พลังงาน พนักงานรัฐบาลกลาง และการปฏิรูปกฎระเบียบในช่วงเช้าตรู่หลังจากเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 มกราคม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามครั้งใหญ่ในการนำวาระนโยบายของเขาไปปฏิบัติอย่างรวดเร็วหลังจากเข้ารับตำแหน่ง
ทางการจีนกำลังต่อสู้กับเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ด้วยการออกมาตรการเศรษฐกิจ แต่อาจมีข้อจำกัดตรงที่ว่า ต้องรอให้นโยบายการค้าของสหรัฐฯ มีความชัดเจนก่อน ทำให้ความกังวลในเรื่องภาวะเงินฝืดของจีนไต่ระดับขึ้น Bond Yield 10 ปีของจีน ปรับตัวลงมาต่ำกว่า 1.6% เป็นครั้งแรก ...... เรามองว่า เป็นข่าวลบของตลาดหุ้นและหุ้นจีน รวมไปถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งน้ำมัน และปิโตรเคมี ที่จะเป็นลบถ้าจีนเข้าสู่ภาวะเงินฝืด (ก่อนหน้านี้ ตลาดมองว่ากำลังจะฟื้น)
รมว.แรงงาน สั่งมอบนโยบายกองทุนประกันสังคม ห้ามลงทุนในหุ้นรายตัวในตลาดหุ้นไทยเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากผลขาดทุน และให้กระจายความเสี่ยงลงทุนในสินทรัพย์มั่นคงสูง เช่น พันธบัตร อสังหาฯ หรือที่ดินในพื้นที่กทม. หรือ จ.ภูเก็ต
การสรรหาประธานบอร์ดธปท.ยังไม่ได้ข้อสรุป หลังจากที่ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ถูกตีตกคุณสมบัติ เนื่องจากเคยดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทั้งนี้ ประธานบอร์ดธปท.เดิม จะสิ้นสุดรักษาการตำแหน่ง 16 ม.ค.68 และเพื่อไม่ให้เกิดสุญญากาศขึ้น ผู้ว่าฯ ธปท. นายเศรษฐพุฒิ อาจต้องขึ้นเป็นผู้รักษาการประธานบอร์ดธปท. ในระหว่างนี้ ตามข้อกฎหมายที่มีอยู่
นายปิ่นสาย อธิบดีกรมสรรพากร เผยอยู่ระหว่างพิจารณาการต่ออายุมาตรการภาษีกองทุน SSF หลังหมดอายุไปเมื่อสิ้นปี 2567 ด้านประธานบอร์ด FETCO ส่งหนังสือหารือถึงกระทรวงการคลังแล้ว รอพิจารณาต่อไป
Event สำคัญ วันนี้ : ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมของสหรัฐฯ (คาด +1.65 แสนตำแหน่ง ; เดือนก่อน +2.27 แสนตำแหน่ง)
Technical : BCH, KAMART
ขณะที่ บล.คิงส์ฟอร์ด ประเมินแนวรับดัชนี SET ที่ 1,350 – 1,360 แนวต้าน 1,370 – 1,375 โดยดัชนียังถูกกดดันจาก Fund Flow ชะลอตัว ระหว่างรอประเมินผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ แนะนำซื้อเก็งกำไรกลุ่มธนาคาร BBL,KBANK,KTB คาดกำไร Q4/67 ขยายตัวได้ดี YoY/ INTUCH,GULF,ADVANC,DELTA คาดได้ประโยชน์จากการลงทุน Data Center ของกลุ่ม AWS มูลค่า 1.73 แสน ลบ.
HMPRO* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 12.20 บาท) คาดกำไรน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 3Q67 ที่เจอทั้งกำลังซื้อที่หดตัว ฤดูฝน แนวโน้มผลประกอบการ 4Q67 ฟื้นตัว QoQ, YoY ได้มีหนุนจากการแจกเงินสดของรัฐบาลและเป็นช่วง high season ของการจับจ่ายใช้สอย และการซ่อมแซมบ้านหลังเหตุการณ์น้ำท่วม ด้าน SSSG คาดทยอยฟื้นตัวขึ้นกลับมาเป็นบวก GPM มีแนวโน้มดีขึ้นจากการขายสินค้า Private brand และใน 4Q67 มีแผนเป็นโฮมโปร และเมก้าโฮม รวมกันราว 4 สาขา ทำให้ทั้งปี 67 ตลาดคาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 6.6 พันล้านบาท +2%YoY ส่วนในปี 68 คาดกำไรเติบโตเป็น 7.1 พันล้านบาท +9%YoY ตามแผนขยายสาขาอีก 6-8 สาขา และมีโมเมนตัมบวกช่วงต้นปีจากมาตรการ easy e-receipt
CRC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 41.50 บาท) กำไรสุทธิ 3Q67 อยู่ที่ 2,219 ลบ. (+86.37%YoY, +28.31% QoQ ) มีแรงหนุนจากรายการพิเศษเป็นบวก(เช่น Fx Gain) ราว 366 ลบ., รายได้กลุ่มFOOD(+12.4% YoY, +4.9% QoQ)/กลุ่มFASHION(+5.1% YoY, -1.3% QoQ ), และ SG&A สามารถคุมได้ดี(เช่น การต่อรองขอลดค่าเช่า) ส่งผลให้ SG&A to Rev. ลดลง ส่วนแนวโน้มการดำเนินงานปกติช่วง 4Q67 นี้ เรายังประเมินว่าจะยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี มีแรงหนุนตาม Seasonal Effect ขณะที่ปัจจัยเสริมเพิ่มเติมจะมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่สูงขึ้น, ม.กระตุ้นกำลังซื้อของภาครัฐฯ, และการฟื้นตัวของธุรกิจ HARDLINE ในไทยและเวียดนาม