เทคโนโลยีความปลอดภัยบนรถทัวร์ท่องเที่ยว ตัวช่วยการเดินทางไกลอย่างปลอดภัย
ความปลอดภัยของการเดินทางโดยรถทัวร์ท่องเที่ยวเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากเหตุการณ์อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งจากปัจจัยหลายประการ การปรับปรุงมาตรการความปลอดภัยในปัจจุบันจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ปัจจุบันมีเทคโนโลยีและมาตรฐานความปลอดภัยที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้งานบนรถทัวร์ท่องเที่ยว ตัวอย่างเช่น
ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง Advanced Driver Assistance Systems (ADAS) ปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตรถยนต์หลายแห่งได้สร้างระบบ ADSA ขึ้นมาเป็นของตัวเองเพื่อความปลอดภัยสูงสุด โดยระบบนี้เน้นเกี่ยวข้องกับการเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ แจ้งเตือนเมื่อรถยนต์ออกนอกเลน และเซนเซอร์ตรวจจับจุดบอดที่ผู้ขับขี่มองไม่เห็น
ระบบติดตามตำแหน่งผ่านดาวเทียม (GPS) โดยเฉพาะรถบัวที่บรรทุกนักเรียนผู้ขับจะต้องใช้ความระมัดระวัง และควบคุมความเร็วของรถยนต์ให้อยู่ในระดับความเร็วที่ปลอดภัยบนท้องถนน ซึ่งสามารถติดตามตำแหน่งและความเร็วของรถได้ผ่านดาวเทียม เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ควบคุมไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ
Tire Pressure Monitoring Systems (TPMS) ระบบรายงานข้อมูลแรงดันลมยางแบบเรียลไทม์ให้กับผู้ขับขี่โดยใช้มาตรวัดและจอแสดงภาพ หรือสัญญาณไฟเตือนเมื่อตรวจพบแรงดันลมต่ำ
กล้องวงจรปิด (CCTV Cameras) ระบบพื้นฐาน และระบบตรวจสอบผู้โดยสาร เพื่อรักษาความปลอดภัยภายในรถ รวมไปถึงทำให้คนขับรถสังเกต ความผิดปกติด้านต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวรถ
ถังดับเพลิง อุปกรณ์พื้นฐานสำหรับลดโอกาสเกิดไฟไหม้ในตัวรถได้ ซึ่งผู้เกี่ยวข้องจำเป็นต้องหมั่นตรวจสอบถังดับเพลิงให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังสามารถติดตั้งเซ็นเซอร์ความร้อนในรถบัสได้ เซ็นเซอร์เหล่านี้จะส่งสัญญาณเตือนภัยเมื่ออุณหภูมิสูงเกินระดับที่กำหนด
นอกจากเทคโนโลยีต่าง ๆ สิ่งหนึ่งที่ผู้ให้บริการรถทัวร์ท่องเที่ยวมองข้ามกลับเป็นเรื่องที่ไม่ซับซ้อน เช่น การแจ้งให้ทราบถึงประตูหนีภัยฉุกเฉินด้วยวาจา หรือป้ายแสดงตำแหน่งที่ชัดเจน หรือข้อควรปฏิบัติหากเกิดกรณีฉุกเฉินรูปแบบต่าง ๆ ขึ้นบนรถทัวร์และรถบัส
การควบคุมมาตรฐานความปลอดภัยอย่างเข้มงวดจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างเช่น กระทรวงคมนาคมและการสื่อสาร (MOTC) ไต้หวันประกาศในเดือนกรกฎาคมว่ารถทัวร์ทั้งหมด 14,000 คัน จะต้องติดตั้งระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) ภายในวันที่ 1 มิถุนายน 2025 เพิ่มความปลอดภัยและลด อุบัติเหตุจราจร หากไม่ปฏิบัติตามอาจต้องเสียค่าปรับสูงสุด 103,500 บาท