สภาฯ ผ่านฉลุย ร่างกฎหมายยกเลิกคำสั่ง คสช. 55 ฉบับ

กฎหมายจากประชาชน สภาฯ โหวตเอกฉันท์ยกเลิกคำสั่ง คสช. 55 ฉบับ
ในวันที่รัฐสภากำลังถูกตั้งคำถามถึงบทบาทในระบอบประชาธิปไตย เสียงโหวต “เอกฉันท์” จากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 402 คน กลายเป็นช่วงเวลาสำคัญที่หลายฝ่ายมองว่าอาจเป็นก้าวแรกของการคลี่คลายบาดแผลจากรัฐประหารปี 2557 เมื่อที่ประชุมสภาฯ มีมติเห็นชอบให้ “ยกเลิกประกาศและคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)” จำนวน 55 ฉบับ และเตรียมส่งต่อร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ให้วุฒิสภาพิจารณาในลำดับถัดไป
อำนาจกลับสู่สภา สู่การรื้อถอนมรดกรัฐประหาร
ตลอดเวลากว่าทศวรรษที่ผ่านมา คำสั่ง คสช. ได้กลายเป็น “กลไกรัฐ” ที่ครอบคลุมทั้งการควบคุมสื่อ การกำกับการชุมนุม และการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง โดยไม่มีที่มาจากประชาชน การผ่านร่าง พ.ร.บ. ยกเลิกคำสั่งเหล่านี้จึงมีความหมายทางการเมืองในเชิงหลักการอย่างลึกซึ้ง
การผ่านร่างกฎหมายครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อคืนความเป็นปกติให้ระบบกฎหมายของประเทศ และเป็นการปลดล็อกข้อจำกัดหลายประการที่ขัดต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนในสังคมประชาธิปไตย การเดินหน้าด้วยเสียงเอกฉันท์แสดงถึงฉันทามติร่วมของผู้แทนฯ จากหลากหลายพรรคการเมือง ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ประเด็นทางกฎหมาย แต่คือการเรียกร้องความชอบธรรมในกระบวนการนิติบัญญัติ
ยกเลิก 55 ฉบับ เล็งทบทวนอีก 22 ฉบับในอนาคต
เนื้อหาของร่าง พ.ร.บ. ที่ผ่านความเห็นชอบนั้นครอบคลุมคำสั่ง คสช. จำนวน 55 ฉบับ โดยคณะผู้จัดทำได้คัดเลือกจากคำสั่งและประกาศทั้งหมดที่ยังมีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 70 ฉบับ โดยที่เหลืออีก 22 ฉบับ ยังอยู่ในกระบวนการศึกษารายละเอียด เนื่องจากมีเนื้อหาที่ยังเกี่ยวข้องกับกฎหมายอื่น ๆ หรือส่งผลกระทบในทางปฏิบัติ
หนึ่งในคำสั่งที่ถูกยกเลิก คือคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับการห้ามชุมนุมทางการเมือง คำสั่งที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่จับกุมและควบคุมตัวโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการศาล หรือคำสั่งที่ขัดกับหลักสิทธิมนุษยชน ซึ่งเคยถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเวทีระหว่างประเทศ
การพิจารณาทบทวนคำสั่งที่เหลืออยู่ จะดำเนินการอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้กระทบต่อความมั่นคงหรือกลไกภาครัฐที่ยังจำเป็นอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่าน
กระบวนการที่ผ่านการถกเถียงและกลั่นกรอง
ร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงจากเสียงเรียกร้องของประชาชนเท่านั้น แต่เป็นผลจากกระบวนการร่วมกันระหว่างรัฐบาล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากหลายพรรคการเมือง รวมถึงกรรมาธิการวิสามัญที่ทำงานต่อเนื่องกันมาหลายเดือน โดยอาศัยข้อมูลทางกฎหมายควบคู่กับการฟังเสียงประชาชน
การมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม โดยเฉพาะกลุ่มนักวิชาการและองค์กรสิทธิมนุษยชน ก็มีบทบาทในการผลักดันให้เกิดการยกเลิกคำสั่งเหล่านี้ เพื่อปรับโครงสร้างทางกฎหมายของประเทศให้ทันสมัยและยึดโยงกับหลักนิติรัฐมากขึ้น
เส้นทางสู่การเปลี่ยนผ่านที่แท้จริง
แม้ว่าการผ่านร่างกฎหมายในชั้นสภาผู้แทนราษฎรจะเป็นเพียงก้าวแรก กระบวนการยังต้องผ่านการพิจารณาจากวุฒิสภาในขั้นถัดไป ซึ่งจะเป็นบททดสอบสำคัญว่า เสียงของประชาชนและผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้ง จะสามารถขับเคลื่อนการปฏิรูปกฎหมายให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมได้หรือไม่
ในห้วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายหลายด้าน การแสดงจุดยืนร่วมของสภาฯ ต่อมรดกรัฐประหาร อาจเป็นจุดตั้งต้นของบทใหม่ ที่อำนาจนิติบัญญัติเริ่มกลับมาอยู่ในมือของผู้แทนประชาชนอีกครั้ง อย่างที่ควรจะเป็นมาตลอด
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
