บล.ฟินันเซีย ไซรัส คงคำแนะนำ “ถือ” SCB พร้อมปรับราคาเป้าหมายใหม่ที่ 134 บาทต่อหุ้น

บล.ฟินันเซีย ไซรัส คงคำแนะนำ “ถือ” SCB พร้อมปรับราคาเป้าหมายใหม่ที่ 134 บาทต่อหุ้น
#ทันหุ้น #SET #SCB บล.ฟินันเซีย ไซรัส คงคำแนะนำ “ถือ” บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน). SCB
พร้อมปรับราคาเป้าหมายใหม่ที่ 134 บาทต่อหุ้น — ปันผลสูง แต่ยังมีความเสี่ยงจากต้นทุนสินเชื่อที่อยู่ในระดับสูง
เรายังคงคำแนะนำ “ถือ” สำหรับหุ้น SCB พร้อมปรับราคาเป้าหมาย (Target Price) ขึ้นเป็น 134 บาท จากเดิม 130 บาท(+3.1%) โดยคาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) อยู่ที่ 8.0–8.4% ต่อปี ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในกลุ่มธนาคารไทย แม้จะมีความเสี่ยงจากต้นทุนสินเชื่อ (credit cost) ที่อยู่ในระดับสูงราว 167–169 จุดเบสิส (bp) ในช่วงปี พ.ศ. 2568–2570
คาดอัตราการจ่ายปันผล 80% แต่ต้นทุนสินเชื่อยังสูง
เรายังคงสมมติฐานอัตราการจ่ายเงินปันผลของ SCB ที่ระดับ 80% สำหรับปี พ.ศ. 2568–2570 ส่งผลให้ธนาคารสามารถจ่ายเงินปันผลในอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 8.0–8.4% ต่อปี
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงสำคัญคือ ต้นทุนสินเชื่อที่ยังอยู่ในระดับสูงกว่ากลุ่มธนาคารใหญ่ของไทย โดยเฉพาะในสินเชื่อ SME และสินเชื่อรายย่อย ทำให้ อัตราส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) ของ SCB อยู่ที่ มากกว่า 4% ซึ่งสูงที่สุดในกลุ่ม และยังมีแนวโน้มเกิด NPL ใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2567 ที่ระดับ 1.5–1.8%
สินเชื่อ SME, รายย่อย และสินเชื่อที่อยู่อาศัยยังเป็นความเสี่ยงหลัก
ฝ่ายบริหารของ SCB ให้ความกังวลใน 3 กลุ่มสินเชื่อหลัก ได้แก่
- สินเชื่อ SME ซึ่งคิดเป็น 17% ของสินเชื่อรวม
- สินเชื่อรายย่อยภายใต้ธุรกิจ Gen2 เช่น บัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล และสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ซึ่งมีต้นทุนสินเชื่อเพิ่มขึ้นจากต่ำกว่า 6% เป็น 6–7% ในไตรมาส 2/2568
- สินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งคิดเป็น 32% ของพอร์ตสินเชื่อรวม โดยอัตรา NPL เพิ่มจาก 2.7% ในปี 2566 เป็น 3.4% ในเดือนธันวาคม 2567 และ 3.9% ในเดือนมิถุนายน 2568
การผิดนัดชำระในกลุ่มสินเชื่อที่มีหลักประกันเหล่านี้ สะท้อนถึงความเปราะบางของคุณภาพลูกหนี้ และอาจทำให้ NPL คงค้างในงบดุลเป็นเวลานาน เนื่องจากต้องใช้กระบวนการทางกฎหมายในการเรียกเก็บหนี้
เราคำนวณว่า ทุกการเพิ่มขึ้นของต้นทุนสินเชื่อ 10 จุดเบสิส (bp) จากฐานที่ 167 bp จะส่งผลให้กำไรสุทธิปี พ.ศ. 2569 ลดลงประมาณ 5.7% หากปัจจัยอื่นคงที่
มีโอกาสเพิ่มอัตราการจ่ายปันผลหาก EPS ลดลง
หาก กำไรต่อหุ้น (EPS) ของ SCB ลดลงจากประมาณการฐาน 10% ในช่วงปี พ.ศ. 2568–2570 ผลตอบแทนเงินปันผลจะลดลงเหลือ 7.2–7.6% จาก 8.0–8.4%
เพื่อรักษาระดับผลตอบแทนปันผลให้สูงกว่า 8% แม้ EPS มีแนวโน้มลดลง เรามองว่า SCB อาจปรับเพิ่มอัตราการจ่ายปันผลจาก 80% เป็น 90% ได้ โดยที่ อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 (CET1 Ratio) ยังอยู่ในระดับสูงกว่า 18% ซึ่งสะท้อนถึงฐานทุนที่แข็งแกร่งของธนาคาร
ปรับลดประมาณการกำไร 1–12% แต่ยังคงคำแนะนำ “ถือ”
เราได้ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี พ.ศ. 2568–2570 ลง 1–12% จากสมมติฐาน ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) ที่ต่ำลง และ ต้นทุนสินเชื่อที่สูงขึ้น แต่ได้รับการชดเชยบางส่วนจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) ที่เพิ่มขึ้น
หลังปรับประมาณการและขยับราคาเป้าหมายเป็นปี พ.ศ. 2569 (2026E) เรากำหนดราคาเป้าหมายใหม่ที่ 134 บาท (จากเดิม 130 บาท) ซึ่งสะท้อนค่า P/BV ที่ 0.89 เท่า โดยคาด ROE ที่ 9%
เราจึงคงคำแนะนำ “ถือ” (HOLD) สำหรับหุ้น SCB โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก อัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่ยังอยู่ในระดับน่าสนใจ
แม้จะเผชิญความเสี่ยงด้านคุณภาพสินเชื่อในสินเชื่อรายย่อยและภาคอสังหาริมทรัพย์ก็ตาม.
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
