รีเซต

ทำความรู้จัก “บาทคอยน์” Digital Currency สัญชาติไทยที่ออกโดยแบงก์ชาติ

ทำความรู้จัก “บาทคอยน์” Digital Currency สัญชาติไทยที่ออกโดยแบงก์ชาติ
NewsReporter
15 มิถุนายน 2565 ( 14:21 )
685

สกุลเงินดิจิทัลสำหรับประชาชนที่ออกโดยแบงก์ชาติ (retail central bank digital currency: retail CBDC) หรือเงินบาทในรูปแบบดิจิทัล ขอเรียกสั้นๆ ในที่นี้ว่า “เงินบาทดิจิทัล” หรือ "บาทคอยน์" ที่จะเข้ามาเพิ่มทางเลือกในการชำระเงินที่มีอยู่ วันนี้ TrueID จะพาไปรู้จักกับเหรียญดังกล่าวว่าเป็นอย่างไร

 

 

“เงินบาทดิจิทัล” ต่างจากเงินสด คริปโทเคอร์เรนซี เงินฝาก หรือ e-money อย่างไร?

หลายคนอาจสงสัยว่า “เงินบาทดิจิทัล” ต่างจาก “เงินสด” ที่อยู่รูปธนบัตรและเหรียญกษาปณ์อย่างไร? ปกติเวลาจะใช้เงินสด หลายคนต้องถอนเงินฝากมานับและใช้จ่ายเงินผ่านมือกัน ซึ่งจะต่างจาก “เงินบาทดิจิทัล” ที่ไม่มีอะไรให้จับต้องได้ แต่เป็นเงินที่ออกโดยธนาคารกลาง สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย และมีสินทรัพย์ภาครัฐหนุนหลังเหมือนเงินสด ก่อนจะใช้งานได้ประชาชนจะต้องเอาเงินฝาก/เงินสดมาแลกไปเก็บไว้ในกระเป๋าเงินดิจิทัล สำหรับคนทั่วไปที่ไม่มีสมาร์ทโฟน อินเตอร์เน็ต หรือบัญชีเงินฝากกับสถาบันการเงิน ก็จะสามารถเข้าถึงใช้งานได้ด้วย เช่น ผ่านการ์ดที่ใช้แตะเพื่อรับจ่ายเงินได้ 

 

“เงินบาทดิจิทัล” ต่างจากคริปโทเคอเรนซีต่างๆ ที่สร้างขึ้นโดยภาคเอกชน ซึ่งมีมูลค่าผันผวนมากและยังไม่มีกฎหมายเงินตรารองรับ ยกเว้นบางประเทศ เช่น เอลซัลวาดอร์ ที่ประกาศเป็นประเทศแรกยอมรับบิตคอยน์เป็นเงินตราใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายได้ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเพราะคนในประเทศนิยมใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐแทนสกุลเงินท้องถิ่นอย่างแพร่หลาย (dollarization) มานานแล้ว แต่ประชาชนก็เริ่มออกมาประท้วงในภายหลัง เพราะประสบปัญหาความผันผวนของมูลค่าบิตคอยน์ ทำให้ไม่อยากรับชำระมูลค่ากันด้วยบิตคอยน์ตามที่กฎหมายกำหนด นอกจากนี้ “เงินบาทดิจิทัล” ยังแตกต่างจากคริปโทเคอเรนซีบางประเภทที่มีกลไกตรึงมูลค่ากับสกุลเงินหลักหรือสินทรัพย์อื่นให้ราคาผันผวนน้อยลง  หรือสเตเบิลคอยน์ (stablecoins) ซึ่งผู้ถือก็อาจไม่สามารถมั่นใจได้ว่า สินทรัพย์ที่ใช้ตรึงมูลค่ามีอยู่จริงและใครจะเป็นผู้รับรองให้

 

“เงินบาทดิจิทัล” แตกต่างจากการโอนเงินกันผ่านบัญชีเงินฝากบนแอพในสมาร์ทโฟน/อินเตอร์เน็ตแบงค์กิ้ง ซึ่งคนไทยก็ใช้งานกันได้สะดวกคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วและไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการโอนเงิน ได้อย่างไร? สำหรับคนที่ชอบใช้เงินสด เพราะใช้จ่ายกันโดยตรงได้เลย ถือไว้ปลอดภัยไม่เสี่ยง สภาพคล่องสูง การมีเงินบาทดิจิทัลเพิ่มมาจะช่วยลดสัมผัส  ลดต้นทุนเดินทางฝากถอน/เก็บรักษาเงินสด และเพิ่มประสิทธิภาพให้เงินสดน่าใช้ขึ้นด้วยเทคโนโลยีทางการเงินแบบใหม่ เหมือนตัดถนนใหม่ที่ใครก็ใช้ได้ หรือมาต่อยอดนวัตกรรมบริการการเงินใหม่ๆ เพิ่มได้ในอนาคต ทำให้ธุรกรรมเงินสดดิจิทัลวิ่งฉิว ถึงไว ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมถ้าใช้จ่ายทั่วไปวงเงินไม่ได้สูงมาก เป็นอีกทางเลือกที่ไม่ต้องโอนเงินฝากผ่านระบบสถาบันการเงิน ซึ่งอาจมีข้อจำกัดบางเวลาหากคนใช้เยอะ หรือให้ใช้ได้เฉพาะกลุ่มลูกค้าของสถาบันการเงินนั้นๆ

 

“เงินบาทดิจิทัล” แตกต่างจากเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-money) ที่มีใช้อยู่หลายรูปแบบในตอนนี้อย่างไร? e-money เป็นเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่ออกโดยสถาบันการเงินและผู้ประกอบการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (non-bank) ภายใต้กฎหมายระบบการชำระเงิน ผู้ให้บริการจะออก e-money ให้แก่ผู้ใช้ที่เติมเงินไว้ล่วงหน้าเพื่อเอาไปจ่ายชำระค่าสินค้าและค่าบริการในวงปิด เฉพาะเครือข่ายที่รับชำระ e-money นั้นๆ ซึ่งอาจอยู่ในรูปการ์ด เช่น บัตรรถไฟฟ้า บัตรเติมเงิน หรืออยู่ในเครือข่ายของผู้ให้บริการ เช่น ทรูมันนี่ Rabbit LINE Pay ShopeePay GrabPay ซึ่งมูลค่าของ e-money ในกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์จะเท่ากับมูลค่าเงินที่เติมไว้ ซึ่งต่างจาก “เงินบาทดิจิทัล” ที่ออกใช้โดยธนาคารกลาง ใช้จ่ายชำระได้ในวงกว้าง ประชาชนใช้งานกันได้อย่างทั่วถึงกว่า

 

หลายประเทศสนใจศึกษาพัฒนา retail CBDC เช่นกัน

ธนาคารกลางต่างประเทศก็สนใจศึกษาพัฒนา CBDC กันมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เน้นพัฒนาใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการชำระเงินระหว่างสถาบันการเงิน (wholesale CBDC) ซึ่งปกติจะตัดชำระกันผ่านบัญชีเงินฝากที่ธนาคารกลาง สำหรับไทยทดลองใช้ wholesale CBDC ได้ผลสำเร็จดีแล้ว ก็เริ่มมีแผนขยับขยายไปยังภาคธุรกิจและประชาชนให้ได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีการเงินใหม่นี้ด้วย ผลสำรวจธนาคารกลางกว่า 60 ประเทศโดยธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (Bank for International Settlements) ในปี 2020 พบว่า ธนาคารกลางกว่า 86% สนใจศึกษาพัฒนา CBDC ซึ่งเพิ่มขึ้นมากเกือบ 1 ใน 3 จากการสำรวจครั้งแรกในปี 2017 

 

บางประเทศมีความคืบหน้าเร็วในการออกใช้เงินสดดิจิทัลเพื่อแก้ปัญหาที่เผชิญอยู่ เช่น ประเทศบาฮามาสที่ต้นทุนขนเงินสดสูงมากเพราะเป็นหมู่เกาะ ประเทศจีนที่ระบบการชำระเงินพึ่งพาธุรกิจเอกชนไม่กี่ราย อาจเกิดการผูกขาดการให้บริการการเงินและการใช้ประโยชน์ฐานข้อมูลผู้ใช้ จึงไม่สร้างประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ หรือประเทศสวีเดนที่ใกล้เข้าสู่สังคมไร้เงินสดเต็มที คนใช้เงินสดลดเหลือ 1% ของ GDP และหันไปพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานบริการชำระเงินของภาคเอกชนไม่กี่รายแทน บางกลุ่มที่ยังใช้เงินสดก็เริ่มเข้าถึงยาก ร้านค้าก็ไม่ค่อยรับเงินสดกันแล้ว

 

หลายประเทศอยู่ระหว่างศึกษาการออกใช้เงินสดดิจิทัล เช่น แคนาดา ญี่ปุ่น นอกจากเห็นประโยชน์ว่าจะช่วยยกระดับโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินของประเทศแล้ว ยังเป็นการเตรียมความพร้อมออกใช้ หากบทบาทเงินสดในระบบเศรษฐกิจลดลงเร็วคล้ายกรณีสวีเดนหรือจีน หรือกรณีที่คนเริ่มใช้คริปโทเคอร์เรนซีบางประเภทในการชำระมูลค่ามากขึ้น จนกระทบประสิทธิผลการส่งผ่านนโยบายภาครัฐในการดูแลเศรษฐกิจ

 

จะเห็นได้ว่า การพัฒนา “เงินบาทดิจิทัล” ให้คนไทยใช้ประโยชน์ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินของประเทศ ให้พร้อมรับเศรษฐกิจดิจิทัล และเปิดกว้างรับนวัตกรรมใหม่ๆ จากผู้ให้บริการทางการเงินเอกชนหลากหลายที่เข้ามาต่อยอดโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินที่รองรับเงินบาทดิจิทัล  แถมยังใช้เป็นเครื่องมือช่วยให้นโยบายภาครัฐเข้าถึงประชาชนรวดเร็วตรงจุด ลดการรั่วไหล และติดตามวัดประสิทธิผลนโยบายได้ แผนการออก“เงินบาทดิจิทัล” ครั้งนี้ชวนให้นึกถึงคำขวัญอมตะยุคสร้างชาติ “ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ” ได้ดีทีเดียว

 

สรุป ถ้าเราใช้ "บาทคอยน์" กันเยอะๆ การใช้เงินสดก็จะลดลงไปเหมือนที่คนจีนใช้ Alipay ซึ่งจะทำให้เงิน 'สีเทา' ที่ซ่อนอยู่ในสังคมไทย ยกตัวอย่างเช่น เงินจากการทำผิดกฎหมาย (ค้ายา, การพนัน) หรือเงินที่มาจากการคอร์รัปชั่น จะถูกนำออกมาเปลี่ยนกลายเป็น Bahtcoin เพราะ ถ้ายังเก็บเงินสดไว้อยู่ก็จะกลายเป็นแค่กระดาษเปล่า ๆ

 

ข้อมูล : ธนาคารแห่งประเทศไทย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : 

3 วิธีสร้างรายได้แบบ Passive income จาก Bitcoin และคริปโตที่ดีที่สุด

เช็กรายชื่อ “สินทรัพย์ดิจิทัลไม่ได้รับอนุญาต” เสี่ยงโดนหลอกลงทุนในตลาดคริปโต

LUNA coin คืออะไร? อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ราคาบิตคอยน์ดิ่งลง $26K

--------------------

เกาะติดสถานการณ์โควิด-19  ทันความเคลื่อนไหว ได้ความรู้ที่ถูกต้อง ส่งตรงถึงมือคุณ
คลิกเลย!! >>> รู้ทันกันโควิด <<< หรือ กด *301*35# โทรออก

 

ทุกประเด็นร้อนข่าวสาร สาระ ทันเหตุการณ์ พูดคุยกันได้ 24 ชม.

คลิกเลย >>> TrueID Community <<<

 

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง