รีเซต

UN ชี้มนุษยชาติล้มเหลว โลกร้อนทะลุ 1.5 องศาฯ แล้ว ชี้ “ต้องเปลี่ยนทิศทางเดี๋ยวนี้”!

UN ชี้มนุษยชาติล้มเหลว โลกร้อนทะลุ 1.5 องศาฯ แล้ว ชี้ “ต้องเปลี่ยนทิศทางเดี๋ยวนี้”!
TNN ช่อง16
28 ตุลาคม 2568 ( 12:30 )
17

ก่อนการประชุมสุดยอดสภาพภูมิอากาศโลก COP30 ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองเบเลง ประเทศบราซิล ในเดือนพฤศจิกายนนี้ “อันโตนีโอ กูเตอร์เรส” เลขาธิการสหประชาชาติ ให้สัมภาษณ์พิเศษ โดยกูเตอร์เรสยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า โลก “ได้ล้มเหลว” ในการรักษาอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้เพิ่มไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ตามข้อตกลงปารีสปี 2558

เขากล่าวว่า การ “ทะลุขีดจำกัด” นี้ถือเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และจะก่อให้เกิด “ผลลัพธ์ที่เลวร้ายอย่างมหาศาล” ต่อระบบนิเวศทั่วโลก ทั้งในป่าฝนแอมะซอน กรีนแลนด์ แอนตาร์กติกาตะวันตก และแนวปะการัง ซึ่งหลายพื้นที่อาจเข้าสู่ “จุดพลิกผัน” (tipping point) ที่ไม่สามารถฟื้นกลับมาได้อีก

กูเตอร์เรสระบุว่า จุดมุ่งหมายหลักของการประชุม COP30 ต้องเป็น “การเปลี่ยนทิศทางอย่างเร่งด่วน” เพื่อให้การหลุดเกินเป้าหมาย 1.5 องศาฯ เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นที่สุด และมีความรุนแรงน้อยที่สุด เพราะหากไม่ทำตอนนี้ “โลกอาจเห็นป่าแอมะซอนกลายเป็นทุ่งสะวันนา”

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โลกได้ทำลายสถิติ “ทศวรรษที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์” ขณะที่การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลยังคงเป็นสาเหตุหลักของการเร่งให้โลกร้อนขึ้น แต่รัฐบาลหลายประเทศกลับยังคงล่าช้าในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

รายงานระบุว่า มีเพียง 62 ประเทศจากทั้งหมด 197 ประเทศ ที่ส่ง “แผนปฏิบัติการลดคาร์บอน” หรือ NDCs (Nationally Determined Contributions) ตามข้อตกลงปารีสเข้ามา โดยสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ถอนตัวออกจากกระบวนการนี้ไปก่อนหน้านี้ ส่วนยุโรปแม้จะให้คำมั่น แต่ยังไม่สามารถปฏิบัติได้จริง ขณะที่จีนซึ่งเป็นประเทศปล่อยคาร์บอนมากที่สุดของโลก ก็ยังถูกวิจารณ์ว่า “ตั้งเป้าต่ำเกินไป”


กูเตอร์เรสระบุว่า หากดูจากแผนที่ส่งมาทั้งหมดในปัจจุบัน จะสามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้เพียงร้อยละ 10 ในขณะที่เพื่อรักษาอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 องศาฯ โลกจำเป็นต้องลดลงถึงร้อยละ 60 ซึ่งหมายความว่าการหลุดเป้าเป็นเรื่องที่ “แน่นอน” แล้วในตอนนี้ แม้จะยอมรับถึงความล้มเหลว แต่เขายังเชื่อว่า หากเริ่มเปลี่ยนทิศทางทันทีและจริงจัง ก็อาจทำให้โลก “หลุดเกินเป้าชั่วคราว” แล้วค่อยลดกลับลงมาสู่ระดับ 1.5 องศาได้ภายในสิ้นศตวรรษนี้

เลขาธิการยูเอ็นยังเรียกร้องให้การประชุม COP30 ปรับโครงสร้างการมีส่วนร่วมใหม่ โดยให้ “ภาคประชาชนและชนพื้นเมือง” มีบทบาทสำคัญมากขึ้น แทนที่การให้พื้นที่แก่ผู้แทนบริษัทพลังงานหรือกลุ่มล็อบบี้ธุรกิจ

เขากล่าวว่า ผลประโยชน์ของบริษัทเหล่านั้นคือ “การเพิ่มกำไร” ขณะที่ “ราคาที่ต้องจ่ายคืออนาคตของมนุษยชาติ” พร้อมย้ำว่าการเปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิลไม่เพียงเป็นหน้าที่ทางสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็น “ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ” ของประเทศต่าง ๆ ด้วย เพราะ “ยุคของน้ำมันและก๊าซกำลังจะสิ้นสุดลง”

เขาชี้ว่า พลังงานหมุนเวียนกำลังกลายเป็น “การปฏิวัติพลังงานสะอาด” ที่จะเร่งตัวขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “มนุษยชาติจะไม่สามารถใช้ทรัพยากรน้ำมันและก๊าซที่ค้นพบไปแล้วทั้งหมดได้แน่นอน”

เมื่อถูกถามถึงการที่รัฐบาลบราซิลอนุญาตให้สำรวจน้ำมันใกล้ปากแม่น้ำแอมะซอน กูเตอร์เรสตอบว่า เขายังไม่ได้หารือกับประธานาธิบดีลูอิซ อีนาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา แต่จะใช้โอกาสในที่ประชุม COP เพื่อหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นพูดโดยตรง

หนึ่งในโครงการสำคัญที่บราซิลเตรียมนำเสนอใน COP30 คือ “กองทุนป่าเขตร้อนตลอดกาล” (Tropical Forests Forever Facility) มูลค่า 125,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตั้งเป้าระดมทุนเพื่อปกป้องผืนป่าธรรมชาติ โดย 20% ของงบประมาณจะส่งตรงไปยังชุมชนชนพื้นเมืองซึ่งเป็นผู้ดูแลพื้นที่ป่าที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด และดูดซับคาร์บอนได้ดีที่สุดในโลก


กูเตอร์เรสกล่าวย้ำว่า “ชนพื้นเมืองคือผู้พิทักษ์ธรรมชาติที่ดีที่สุด” และผู้นำโลกควรเรียนรู้จากวิถีชีวิตของพวกเขา เพื่อสร้างสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ “ผู้นำทางการเมืองมักจดจ่อกับปัญหาสังคมระยะสั้น โดยละเลยความสัมพันธ์อันกลมกลืนกับธรรมชาติ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการปลูกฝังอยู่เสมอ และไม่มีใครเหมาะสมจะสอนเรื่องนี้ได้ดีไปกว่าชนพื้นเมือง”

แม้ระบบการประชุม COP จะถูกวิจารณ์ว่าล่าช้าและซับซ้อน แต่กูเตอร์เรสย้ำว่า “ยังจำเป็นต้องคงไว้” เพราะหากโลกไร้เวทีความร่วมมือระหว่างประเทศเช่นนี้ “สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือการปล่อยให้ทุกประเทศทำตามใจ” และในที่สุด “จะเหลือเพียงคนรวยและบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่กี่กลุ่มที่ยังคงอยู่ได้ ขณะที่ผู้คนนับล้านจะจมหายไปพร้อมภัยพิบัติที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ”

ในฐานะที่ปี 2569 จะเป็นปีสุดท้ายในตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติ กูเตอร์เรสกล่าวว่า หากย้อนเวลาได้ เขาอยากให้ตนเอง “หันมาให้ความสำคัญกับสภาพภูมิอากาศและธรรมชาติตั้งแต่แรก” แต่ยืนยันว่าจะไม่ยอมลดละความพยายามในการผลักดันประเด็นนี้จนถึงวันสุดท้ายในตำแหน่ง

“ผมจะไม่มีวันยอมแพ้ต่อภารกิจปกป้องโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการต่อสู้กับโลกร้อน การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ หรือการปกป้องธรรมชาติ รวมถึงการสนับสนุนขบวนการประชาธิปไตยทั่วโลกที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดของเรา” เขากล่าวทิ้งท้าย

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง